The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 372
มังกรอัสนีคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เสียงดังมาจากระยะหลายร้อยลี้ สายฟ้าหลอกสีเปล่งประกายฉาบท้องนภาจนดูตระการตาดั่งโลกในฝัน เพียงแค่เสียงสายฟ้าคำรามก็ทำให้เหล่าสรรพสัตว์วิ่งหนีด้วยความกลัว ทุกคนขนลุก
เหล่าผู้คนตกตะลึง พวกเขาทั้งกลัวและเกรงเมื่อได้ยินเสียงสายฟ้าคำราม
“ปรากฏการณ์ดั่งสวรรค์เช่นนี้จะเกิดจากวิชาอำมฤตระดับสองเท่านั้น!”
อัสนีรวมตัวรอบกายซือหยูอย่างบ้าคลั่ง ซือหยูกำลังจะสำเร็จพลังและควบคุมดัชนีพันสายฟ้าได้โดยสมบูรณ์
“กักเก็บ!”
ซือหยูชี้ดัชนีไปยังนภา เมฆาทมิฬเริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่งโดยมีปลายดัชนีของซือหยูเป็นจุดศูนย์รวม มันก่อร่างเป็นวายุ อัสนีพันสายรวมตัวกันเป็นคลื่นหมุนวนขนาดใหญ่เข้าสู่ร่างของซือหยูผ่านดัชนี
“เขากำลังถึงจุดที่สำคัญที่สุด เขากำลังเก็บรวบรวมอัสนีจากสวรรค์มาใช้เป็นของตัวเอง!”
จ้าววิหคเพลิงกล่าวชื่นชมผ่านแววตา
“ถ้าหากอัสนีพันสายเก็บในร่างของเขาได้ เขาก็จะใช้พลังของอัสนีพันสายฟ้าได้ในอนาคต”
หัวหน้ามู่ตกใจ นางพูดเสียงหลง
“วิชาอัสนีระดับอำมฤตน่ากลัวยิ่งนัก…!”
นางบ่มเพาะวิชาระดับอำมฤตจนถึงระดับสองเช่นกัน แต่ถ้าเทียบกันแล้ว…นางอ่อนแอกว่าซือหยูอย่างมาก!
“แต่ท่านอาจารย์ จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าเขารวบรวมสายฟ้าไม่พอ?”
หัวหน้ามู่ถามด้วยความสงสัย
แววตาของจ้าววิหคเพลิงเคร่งเครียด
“นั่นก็จะเกิดผลร้ายแรงตามมา! เขาจะดูดซับสายฟ้าได้เท่าใดก็จะเป็นตัวแทนของพลังในระดับสอง ถ้าเขาดูดซับได้ไม่ถึงพันสายที่เรียกมา พลังของวิชาเขาจะลดลงอย่างมาก สิ่งที่เขาลงแรงมาในอดีตก็จะสูญเปล่า และสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแต่เลือกบ่มเพาะวิชาระดับอำมฤตใหม่”
หัวหน้ามู่ตกใจ
“เช่นนั้นก็มาหวังให้เขาบรรลุพลังได้สำเร็จ นี่จะเป็นอนาคตของเขา”
ซือหยูที่ลอยอยู่กลางอากาศตื่นเต้นอย่างมาก ความรู้สึกยินดีเอ่อล้นในกาย วันนี้ไม่ใช่วันที่จะมาถึงได้ง่ายๆ! เขาสัมผัสสายฟ้าที่เข้าสู่ร่าง สายฟ้าเหล่านั้นแข็งแกร่งจนทำให้ซือหยูตัวสั่นจนต้องประหลาดใจ
เขาเรียกมังกรได้เก้าตัวจากดัชนีสายฟ้าดารา แต่ดัชนีพันสายฟ้านั้นทำให้เขาเรียกมังกรได้ถึงพันตัว! พลังอันน่ากลัวของมันนั้นเหนือจินตนาการ!
ซือหยูข่มความตื่นเต้นในใจและพยายามอย่างมากที่สุดเพื่อที่จะดูดซับสายฟ้า
หนึ่งสาย!
สองสาย!
สามสาย!
สิบสาย!
ซือหยูตื่นเต้นเหลือเกิน
นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาจะได้รับการยอมรับจากคนหลายพัน นี่คือช่วงเวลาที่ยอดฝีมือในทวีปมองดูเขาบรรลุระดับสองของวิชาระดับอำมฤต!
แต่ในตอนนั้นเอง…
ฟึ่บ—
เสียงดังก้องท้องนภา ภาพติดตาสีครามพุ่งทะยานไปยังซือหยูด้วยความเร็วอันเหนือจินตนาการ ความดุร้ายของมันนั้นไม่ต่างจากสัตว์ป่า และที่สำคัญที่สุดคือความเร็วของมัน!
“เจ้านกอสูร! หยุดนะ!”
มู่เทียนฟางได้แต่อุทานออกมา
สีหน้าซงหลวนเปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นเช่นนี้ ซือหยูจะมีเวลามาจัดการกับวิหคครามในยามที่เขากำลังจะทะลวงพลังได้อย่างไร?
ถ้าหากการสำเร็จพลังถูกขัดขวาง ความพยายามที่ซือหยูทำมาในวิชาอัสนีนี้ก็จะเปล่าประโยชน์! วิหคครมนี้โหดร้ายเกินไปแล้ว! แต่ความเร็วนั่นก็ทำให้ซงหลวนสิ้นหวัง! เขาไม่มีเวลาพอจะช่วยซือหยู!
เขามองซือหยูที่กำลังจะปะทะกับวิหคคราม แต่ในตอนนั้นซือหยูก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น!
“ข้ารู้อยู่แล้ว!”
ฟึ่บ–
ซือหยูชี้นภาและดูดซับอัสนีต่อไป เขาเรียกธนูมังกรฟ้าดินออกมาที่มืออีกข้าง!
“มันออกมาแล้ว!”
หนึ่งในผู้คนอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา สมบัติเทพระดับกลาง! โจวเนี่ยนเฉินพ่ายแพ้แก่สมบัติเทพนั่น!”
แต่ซือหยูก็มีแค่มือเดียว เขาจะยิงธนูยังไงกัน?
เอี๊ยด—
แต่ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นซือหยูถือธนูด้วยมือขวาและก้มศีรษะกัดสายธนูด้วยฟัน เขาดึงสายธนูเป็นมุมเล็กน้อย! เขาจะยิงธนูในท่านั้นจริงๆรึ?
ฟึ่บ–
เขาอ้าปากและปล่อยศรวิญญาณขนาดเท่าเล็บมือทะลวงไปด้วยความเร็วที่มองตามไม่ทัน มันพุ่งเข้าใส่วิหคครามตัวใหญ่
โฮก—
วิหคครามกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ศรวิญญาณทะลุร่างของมัน เนื้อส่วนใหญ่หายไปเพราะธนูอันทรงพลัง พลังชีวิตของมันลดลงในทันที เรียกว่าศรวิญญาณนี้แทบจะฆ่ามันได้เลย
มันร่วงหล่นลงราวกับก้อนศิลา มันตกลงพื้นเสียงดังลั่น ผู้คนจึงได้เห็นตัวตนของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
“นั่นมันวิหคครามของเจ้าตำหนักหลิวลี่!”
ซือหยูดูดซับสายฟ้าอย่างบ้าคลั่ง เขามองหลิวลี่อย่างใจเย็น
“นี่แหละวิธีของเจ้า ข้าเตรียมตัวมานานแล้ว”
เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าหลิวลี่จะยืนรอเขาบรรลุพลังใหม่? หลิวลี่จะต้องแอบสั่งให้วิหคครามเข้ามาอย่างลับๆ เพราะเขาไม่กล้ากระทำเรื่องชั้นต่ำต่อหน้าผู้คน!
“หยินหยู! เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
“มันก็แค่ยังไม่เชื่อง ทำไมเจ้าต้องฆ๋ามันเล่า? ด้วยพลังที่เจ้ามี เจ้าแค่ไล่มันไปก็พอแล้ว!”
คำพูดของหลิวลี่ช่างคล้ายกับที่ซือหยูจำได้ ก่อนหน้านี้หลิวลี่ขี่วิหคครามมาที่เขตหยินหยู เขาทำให้ผู้บริสุทธิ์มากมายบาดเจ็บ หลิวลี่ในตอนนั้นอธิบายว่าเป็นเพราะนิสัยดุร้ายของวิหคครามที่ยากจะฝึกให้เชื่อง แต่ก็ไม่มีใครตาย ดังนั้นเขตหยินหยูควรจะต้องขอบคุณ!
ตลกสิ้นดี! ตอนที่วิหคครามที่เข้ามาจู่โจมซือหยู หลิวลี่ไม่ได้สั่งให้มันหยุดแต่ตอนนี้เขากลับมาแก้ตัวให้วิหคครามของตัวเอง
ซือหยูหัวเราะอย่างเย็นชา
“ยากจะเชื่องรึ? ถ้าเจ้าควบคุมสัตว์อสูรของตัวเองไม่ได้ ข้าก็ช่วยให้เจ้าควบคุมมันได้ยังไงล่ะ!”
“นี่เจ้า!”
หลิวลี่จ้องอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าอะไรรึ? เก็บความเสียใจของเจ้าแล้วไสหัวไปซะ!”
ซือหยูยิ่งกว่าขยะแขยง
หลิวลี่หัวเราะอย่างโกรธแค้น
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะดูถูกคนอื่นได้แค่เพราะเจ้ากำลังจะบรรลุระดับสองของวิชาระดับอำมฤตรึ? เจ้าคนใจแคบ! ฮื่ม! ไม่แปลกใจที่เจ้ากล้าสู้กับพวกข้าสองคนพร้อมกัน เจ้าคิดมานานแล้วสินะว่าถ้าเจ้าเข้าสภาวะบรรลุพลังแล้วพวกเราจะขี้ขลาดจนไม่กล้าทำอะไรเจ้า–!”
แต่หลิวลี่ก็ยังพูดไม่ทันจบ เขารู้สึกได้ถึงความประหลาดของพลังวิญญาณรอบตัวซือหยู…และเห็นซือหยูดึงสายธนูด้วยฟันอีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้ ซือหยูไม่ได้ดึงสายธนูแค่นิ้วเดียว เขาดึงกลับมาสามนิ้ว!
เขาชำระธนูมาแล้วหนึ่งในสิบส่วนโดยใช้โลหิตหัวใจของตู่หลง! นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูใช้พลังเต็มที่ของธนู! ศรวิญญาณที่ยาวกว่าเดิมปรากฏขึ้นลางๆจากบนธนูสีเงิน รังสีพลังอันน่าตกใจคือพลังทำลายล้าง
ซงหลวน เว่นฉีหลิน และแม้แต่เฉินคงก็ท่าทางเปลี่ยนไป ศรวิญญาณที่เปล่งประกายทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือก!
คำพูดของหลิวลี่หยุดลง เขาเบิกตากว้าง
“เป็นไปได้ยังไงกัน? ทำไมพลังของธนูเจ้าถึงไม่เหมือนตอนนั้น…? เดี๋ยวนะ เจ้าซ่อนพลังมาโดยตลอดงั้นเรอะ?”
ซือหยูจะใช้ธนูนี้เมื่อใดก็ได้ แต่เขาก็ทนหลิวลี่มาโดยตลอด แต่หลิวลี่กลับเอาแต่มาหาเรื่องซือหยู!
หลิวลี่ที่ถูกธนูสีเงินเล็งใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ประสาทสัมผัสในร่างกายของเขามืดบอด
“เดี๋ยวก่อน…!”
เขาตะโกนร้องด้วยความเศร้า
“เจ้ากำลังจะบรรลุพลังนะ—เจ้าไม่ควรจะทำอะไร!”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าคนที่ไม่คิดจะสู้ไม่ใช่เขา…แต่เป็นซือหยู! คำพูดของเขาก็เพียงเพื่อซื้อเวลา เขาไม่อยากจะพ่ายแพ้ซือหยูต่อหน้าผู้คนมากมาย ชื่อเสียงของเขาจะพังย่อยยับ!
แต่โชคไม่ดีที่ซือหยูรับรู้ความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ความขยะแขยงในดวงตาล้ำลึกขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ข้าจะเป็นกังวลน้อยกว่าถ้าเจ้าไสหัวไปซักที!”
ปั้ง—
ศรวิญญาณพุ่งเข้าใส่หลิวลี่ด้วยพลังอันเหนือจินตนาการ
ครืน—
หลิวลี่ทำไม่ได้แม้แต่จะป้องกัน เขากระเด็นไปไกลหลายลี้จนชนกับกำแพง ศรวิญญาณทะลวงท้องของเขา โลหิตไหลออกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โลหิตของเขาย้อมสีกำแพงเป็นสีแดงฉาน แววตาอันหยาบคายปูดโปนราวกับมัจฉาที่ไร้ชีวิต มันเต็มไปด้วยความกลัวและความเจ็บปวด
ศรวิญญษณหายไป ร่างของเขาร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นไม่ต่างกับผืนผ้า บาดแผลของเขารุนแรงไม่ก็ปางตาย แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเพราะซือหยูไม่คิดจะฆ่าเขา หลิวลี่ผู้หยิ่งในตนเอง หลิวลี่ผู้ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าซือหยู…มิอาจทำอะไรได้แม้จะเป็นกระบวนท่าเดียวจากซือหยู
ความแตกต่างมหาศาลนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง นี่คือพลังที่แท้จริงของเจ้าตำหนักหยินหยู! ในตอนนี้ทุกคนทั้งหวาดกลัวและนับถือ
ซือหยูจ้องยู่หลิง
“อะไรของเจ้า? เจ้าอยากจะให้ข้าเชิญเจ้าลงจากลานประลองรึ?”
ยู่หลิงขบริมฝีปาก นางหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ นางตัวแข็งทื่อก่อนจะก้มหน้าเดินลงจากลานประลองด้วยความอับอาย นางสูญแส้แม้กระทั่งจิตใจที่จะต่อสู้ และซือหยูก็ใช้เพียงแค่แขนข้างเดียว ไม่มีใครกังขาในพลังของซือหยูอีกแล้ว!
ซือหยูดูดซับสายฟ้าจนสำเร็จโดยไม่มีใครมาขัดขวางอีก
เจียงมู่เฟยแทบจะล้มลงกับพื้น
“หยินหยูแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวรึ?”
เขาเอาชนะอำมฤตระดับสี่สองคนอย่างง่ายดาย!
ซงหลวนยิ้มแต่ไม่พูดอะไร แววตาของเขาสุขุมเยือกเย็น
เว่ยฉีหลินถอนหายใจแรง เขามองซือหยูและพูดกับตัวเอง
“เขาก็นับว่าผ่าน
เฉินคงเลียริมฝีปากและส่ายหัวอย่างผิดหวัง
“ข้าคิดว่าเจ้าจะทำให้ข้าต้องประหลาดใจ แต่ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไป…หยินหยู”