The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 414
ราชามนุษย์อีกคนกัดฟันแน่น ผู้หญิงคนนี้สร้างปัญหายิ่งนัก จำนวนวิชาที่นางใช้ได้นั้นน่ากลัวอย่างมาก นางไม่เคยใช้วิชาเดิมซ้ำสอง ทำให้ความได้เปรียบในด้านฐานพลังอ่อนด้อยลงไป
เมื่อความลับถูกเปิดเผย ชายตัวเตี้ยก็สะบั้นผนึกของตัวเอง หลังจากที่พลังอสูรถูกใช้งานเขาก็กลายร่างเป็นอสรพิษที่ทั้งร่างปกคลุมด้วยเกล็ด การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวกว่าเดิมหลายขั้น เซี่ยจิงหยูรู้สึกกดดันยิ่งขึ้น และพลังวิญญาณของนางยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ นางกำลังเสียเปรียบ สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายเป็นอย่างมาก
ซือหยูพูดด้วยความหม่นหมอง
“ข้าคิดว่าพวกมันก็กำลังถ่วงเวลาเหมือนกัน!”
ราชามนุษย์สองคนนี้จะต้องรู้ว่าการใช้วิชานี้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวเอง ยากที่จะอธิบายว่าทำไมคนร้ายที่อยู่ในส่วนลึกของก้นบึ้งกล้าทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้
ซือหยูกังวลใจ สิ่งเดียวที่จะอธิบายได้ก็คือพวกเขาไม่ได้ลงมือกันแค่สองคน ยังมีคนอื่นอยู่อีก!
เซี่ยจิงหยูคิดได้แบบเดียวกัน แววตาของนางเฉียบคม
“เราต้องจบมันโดยเร็ว”
ซือหยูแอบเหลือบมองเซี่ยจิงหยูและคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาจะออมมืออีกแล้ว เขาประสานฝ่ามือกันพร้อมกับอสรพิษน้ำแข็งมากมายที่พุ่งเข้าใส่ชายตัวสูง
อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังลั่น
“เจ้าเดาได้เลยรึว่าพวกข้าถ่วงเวลา แล้วยังไงล่ะ? อย่างไรพลังพวกข้าก็เพียงพอจะเอาชนะเจ้า!”
แกร๊ก–
เอาคว้าอสรพิษน้ำแข็งไว้ด้วยทั้งสองมือ เขาบีบบดขยี้มันเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็มีสายฟ้าสีม่วงพุ่งเข้าใส่จากอสรพิษน้ำแข็งที่ถูกทำลายโดยที่เขาไม่รู้ตัว!
อ๊าก—
เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ฝ่ามือไหมเกรียมจากสายฟ้า ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยพลังอสูร เขาบนหัวสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้ ราวกับเขากำลังจะฝืนให้ตัวเองอยู่ในสภาพแข็งแกร่งขึ้น!
“ไอ้เด็กนี่ใช้วิชาอัสนี!”
“เขาถอนพลังอสูรออกจากร่างพวกเราได้! เราต้องปิดฉากแล้ว!”
ชายร่างเตี้ยเหลือบมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาปล่อยการโจมตีอันบ้าคลั่งใส่เซี่ยจิงหยูหวังจะไปช่วยอีกคน
“โชคร้ายนัก เจ้าหนู”
เขาใจเต้นแรงแต่ความกังวลก็หายไปจากแววตาในไม่นาน
“วิชาอัสนีของเจ้ายังอ่อนแอเกินไป!”
เขาตะโกนร้องด้วยความโกรธแค้น เขาพุ่งเข้ากดดันซือหยูกับเซี่ยจิงหยูอีกครั้ง
พรึ่บ–
มนุษย์ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังซือหยูในทันที ร่างของมันเปล่งแสงสีฟ้าคราม มันพุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างรวดเร็ว
“ร่างปลอมอัคคีเรอะ? พวกข้าเตรียมการไว้แล้ว!”
ครืน—
ชายตัวสูงยิงพลังอสูรใส่ร่างเทียม พวกเขาไม่ปล่อยให้ร่างเทียมของซือหยูเข้าใกล้ วิชาเพลิงนั้นจะทำให้พลังอสูรของพวกเขาหายไปอย่างมาก
ฟึ่บ–
แต่เมื่อร่างเทียมกระเด็นออกไปมันก็หยิบธนูสีเงินออกมา มันยิงธนูด้วยความเร็วที่มองไม่ทัน ศรนั้นทำมาจากเพลิงครามร้อนสูงและมันก็พุ่งถึงตัวของราชามนุษย์สองคนที่มิอาจป้องกันตัวได้
ฉั่วะ–
ศรทะลวงชายมีเขาแต่ก็ทะลุได้ไม่ลึก ร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่ศรจะทะลวงลึกได้มากกว่านั้น แต่เพลิงจากศรวิญญาณก็ได้กลายเป็นเพลิงพิโรธแผดเผาร่างกายจากบาดแผลนั้น
การยิงศรนี้แม่นยำ เพลิงถาโถมตรงเข้าใส่หัวใจของศัตรู
“อ๊าก! ไม่นะ!”
ชายมีเขาตะโกน เขากรีดร้องด้วยความกลัวก่อนที่หัวใจจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ซือหยูใช้จังหวะนี้ซัดหมัดบดขยี้หัวของเขาในทีเดียว! นี่คือทางเดียวที่จะยืนยันได้ว่าเขาจะตายจริงๆ และเพื่อป้องกันให้เขาลอบโจมตีไม่ได้ก่อนจะตาย
ซือหยูสลายร่างเทียมและมองข้างหลัง เขากับเซี่ยจิงหยูร่วมมือกันสังหารศัตรูที่เหลือเพียงคนเดียว
แม้จะอยู่ในลักษณ์อสรพิษ ราชามนุษย์ก็มิอาจซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ได้ เขากับสหายคิดว่าซือหยูนั้นอันตรายแต่ก็แค่สูสีกับพวกเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดว่าพวกเขาแค่ต้องทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเท่านั้น แต่กลับมีหนึ่งคนที่ตายลงไป! เขาที่เหลือเพียงคนเดียวไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
เขาร้องคำราม พลังอสูรในร่างขยายร่างกับลูกโป่ง
ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูสัมผัสได้ถึงอันตราย พวกเขาถอยทันที
ตู้ม—
พลังอสูรระเบิดอย่างรุนแรง ซือหยูเห็นชายอีกคนใช้แรงระเบิดเป็นแรงส่งในการหลบหนี
ด้วยวิชาของซือหยู เขามันใจว่าเขาจะตามทัน แต่เซี่ยจิงหยูอาจจะไม่ทันเช่นนั้น ยากที่จะสังหารชายคนนี้ถ้าเขาต้องทำเพียงลำพัง และยิ่งกว่านั้นคนที่อยู่เบื้องหลังราชามนุษย์ทั้งสองนั้นยังไม่แสดงตัวออกมา
“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ…”
ซือหยูเดินผ่านศพชายมีเขา เขามองเห็นกระเป๋าเล็กๆที่แขวนอยู่กับเอว เขาย่อตัวลงและดึงมันออกมาจากเข็มขัดก่อนที่จะหนีไปกับเซี่ยจิงหยู
******
ชายที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวยืนอยู่ที่ทางออกก้นบึ้งมังกร เขามีบาดแผลเก่าบนศีรษะที่ทำให้เลือดเนื้อหลายส่วนหายไป รากษสสิบตนยืนอยู่ตรงหน้า
ในตอนนั้นชายร่างเตี้ยก็หนีเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ท่านเจ้าเมืองตังกุย!”
เขาตกใจเมื่อมองเห็นรากษสทั้งสิบ ชายที่มีแผลเป็นน่ากลัวผู้นี้คือเจ้าเมืองก้นบึ้งคนที่สอง เจ้าเมืองตังกุย ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในก้นบึ้งมังกร ความสามารถในการควบคุมภูติผีของเขานั้นยอดเยี่ยม ฐานพลังของเขาอยู่ในระดับกึ่งเทพทำให้เขานั้นไร้เทียมทาน นอกเหนือจากเจ้าเมืองคนแรกก็ไม่มีใครต่อกรกับเขาได้!
เจ้าเมืองตังกุยหลับตาช้าๆ เขาลืมตาอีกครั้งพร้อมกับแสงมรกตที่หายไป ดวงตากลับมาเป็นสีดั้งเดิม
“มันอยู่ไหน?”
“พวกมันหนีไปแล้ว”
เจ้าเมืองตังกุยถอนหายใจแรง
“ฮงมู่ไม่กลับมา ข้าคิดว่าเขาน่าจะตายไปแล้ว ดูจากความตายของเขาและความผิดพลาดของเจ้า ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิดว่าขยะอย่างพวกเจ้าจะเอาชนะมันได้”
เหงื่อเม็ดโตไหลผ่านไปใบหน้า เขาคุกเข่าลงกับพื้นอ้อนวอนขอความเมตตา
“โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะท่านเจ้าเมือง!”
“ยืนซะหลู่มู่!”
“ข้ารู้ว่ามีโอกาสที่เจ้าอาจจะจับพวกนั้นไม่ได้”
หลู่มู่ตกใจ
“ท่านเจ้าเมืองรู้งั้นรึ? แล้วทำไมถึง…?”
เมื่อผู้บุกรุกมาถึง เจ้าเมืองตังกุยนั้นไม่ได้สนใจมากนัก เขากลับอยู่ในเบื้องหลังและรวบรวมเหล่าภูติผีมาที่ทางออกของก้นบึ้งมังกร หลังจากที่ระบุตำแหน่งของผู้บุกรุกได้ เขาก็ส่งสองคนเข้าไปจับตัวทั้งสอง…ภารกิจนี้ต้องจบลงด้วยความล้มเหลวอยู่แล้ว
เจ้าเมืองถอนหายใจแรง
“แม้พวกเจ้าจะติดตามข้ามาหลายปี เจ้าก็ยังไม่เข้าใจตำแหน่งของข้าอีกรึ?”
หลู่มู่ไม่สบายใจ มันมีความขัดแย้งมานานระหว่างเจ้าเมืองทั้งสอง และพวกเขาก็ไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวมาก่อน
แม้เล่ยมู่ที่เป็นเจ้าเมืองคนแรกจะเกลียดชังตังกุย การทำลายเขาก็ไม่เฉลียวฉลาดนัก มีภูติผีมากมายในก้นบึ้งมังกร และเมืองก้นบึ้งยังต้องรับมือกับการโจมตีของภูติผีมาตลอด พลังควบคุมภูติผีของตังกุยนั้นจำเป็นในการปกป้องเมือง แม้ว่าเจ้าเมืองคนแรกจะอยากให้เขาไป เขาก็ไม่กล้าลงมือ เขากลับแอบกดดันเจ้าเมืองตังกุยโดยหวังจะทำให้ยากที่ตังกุยจะหาพันธมิตร
หลู่มู่ครุ่นคิด
“ท่านเจ้าเมือง ท่านจะพูดว่าท่านต้องการใช้สถานการณ์นี้ให้พวกข้าไล่ล่าคนนอกแล้วท่านจะได้รวบรวมภูติผีระดับสูงมารับใช้ได้มากขึ้นงั้นรึ?”
เจ้าเมืองตังกุยหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เจ้าหลักแหลมกว่าที่ข้ามองนะ! เล่ยมู่คิดว่าข้าไม่รู้ว่าเขากำลังแอบบ่มเพาะกระบี่สายฟ้า…อาวุธที่สังหารได้แม้กระทั่งภูติสวรรค์ หากกระบี่นั้นก่อร่างขึ้น ข้าก็เกรงว่าคนอย่างพวกเขาจะถูกลบหายไปจากก้นบึ้ง เขาส่งข้ามาไล่ล่าคนนอกด้วยตัวเองเช่นนี้ ข้าคิดว่ากระบี่สายฟ้าคงใกล้จะสำเร็จแล้วและเขาก็คิดจะเข้าจู่โจมข้าในเวลาที่เหมาะสม!”
หลู่มู่มองรอบๆ
“แล้วท่านจะตอบโต้ยังไงกัน?”
เขาสงสัยว่าเจ้าเมืองตังกุยจะทำอย่างไรต่อไป
ตังกุยตอบด้วยเสียงหัวเราะ
“ตอบโต้เรอะ? เจ้าเรียกว่าการหนีออกจากเมืองก้นบึ้งคือทางตอบโต้หรือไม่เล่า? เล่ยมู่คิดว่าแผนของมันยังไม่มีใครได้รับรู้แต่ก็ไม่อาจซ่อนจากภูติสวรรค์ได้! ถ้าข้าคิดอ่านถูกต้อง ภูติสวรรค์ไม่ได้แค่รู้ว่าเล่ยมู่กำลังทำอะไร แต่นางจะโจมตีก่อนที่กระบี่จะสร้างสำเร็จ เมื่อมันเกิดขึ้นก็จะมีการล้างสังการในก้นบึ้งมังกร การหนีไปจากที่นี่คือทางรอดทางเดียว”
“การป้องกันในเมืองก้นบึ้งนั้นเพียงพอต่อการป้องกันอสุราขาว แต่กับภูติสวรรค์…หึหึ! นางแค่ไม่คิดจะจู่โจมเราเท่านั้น มิเช่นนั้นเวทย์ในเมืองก็คงจะถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว! เจ้าเล่ยมู่หวังจะปกครองก้นบึ้งมังกรโดยการสร้างกระบี่สายฟ้า แต่ภูติสวรรค์จะไม่สนใจภัยร้ายนั้นเรอะ? ข้าถ้าพูดถูก ภูติสวรรค์ก็เตรียมจะลงมือแล้ว นางอยู่บางแห่งในก้นบึ้งมังกรนี่แหละ”
หลู่มู่ตกตะลึง
“ไม่แปลกใจที่เจ้าเมืองตังกุยถึงเต็มใจจะออกจากเมือง ท่านจะได้ใช้ภูติสวรรค์กำจัดเล่ยมู่แทน จากนั้นก็จะเหลือเจ้าเมืองเพียงคนเดียว!”
หลู่มู่ตื่นเต้นแต่ก็กังวลเช่นกัน
“แต่ถ้าหากภูติสวรรค์ไม่ลงมือล่ะ? เรากำลังอยู่ในช่วงบูชายัญโลหิตของมังกรอสูร ภูติสวรรค์ไม่ได้เป็นอิสระตลอดเวลา ถ้ามันไม่ลงมือก็สายเกินไปแล้วที่จะหยุดกระบี่สายฟ้าให้สร้างสำเร็จ”
เจ้าเมืองตังกุยขมวดคิ้ว
“ข้าก็ห่วงเรื่องนั้นเหมือนกัน! ข้าถึงคิดจะปล่อยคนนอกทั้งสองเพื่อให้เวลาข้าในโลกภายนอกมากขึ้น ข้าเลยใช้เวลาที่มีครั้งนี้หาภูติผีที่แข็งแกร่งมาข้างกาย!”
ถ้ากระบี่สายฟ้าถูกสร้างสำเร็จ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับมันเท่านั้น เหล่าภูติผีที่เขารวบรวมมานั้นจะเป็นไพ่ตายของเขา
“แล้วเราจะทำอะไรกับคนนอกงั้นรึ?”
หลู่มู่ถามต่อ
“เราจะปล่อยให้พวกมันหนีไปรึ? หลังจากที่มันทำเช่นนั้นไปน่ะรึ?”
หลู่มู่เวทนากับความตายของฮงมู่ แต่นั่นตังกุยก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะล้มเหลว ความตายของฮงมู่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนนอกนั้นแข็งแกร่งมาก นั่นทำให้การหนีของพวกเขาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำให้เจ้าเมืองตังกุยมีเหตุที่จะออกมานอกก้นบึ้งเป็นเวลานาน
“เราต้องไล่ตามพวกมันไป!”
“ก้นบึ้งมังกรไม่ใช่ที่หลบภัย มันต้องรู้ตั้งแต่ก่อนที่เข้ามาที่นี่แล้ว ไล่ตามมันไปสูงขึ้นเรื่อยๆ เครื่องสังเกตการณ์มันมองเห็นพวกเราได้ในระยะหลายหมื่นลี้ ถ้าพวกเราไม่ไล่ตามมันไป เล่ยมู่ก็จะสงสัยเป็นแน่”
หลู่มู่ลังเลก่อนจะพูด
“แต่ข้ามันไร้พลังและพ่ายแพ้พวกมัน เครื่องสังเกตการณ์อีกอันอยู่กับฮงมู่ เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะเอาไปแล้ว”
เจ้าเมืองตังกุยหัวเราะ
“ข้าคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว การส่งพวกเจ้าไปก็คาดไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะทำไม่สำเร็จ! ก่อนเจ้าจะไป ข้าใส่พลังภูติผีไปกับพวกเจ้า มันไร้สีไร้กลิ่น มิอาจถูกชำระด้วยวารีและอัคคี มันจะติดอยู่กับเจ้าไปครึ่งเดือน และพลังนั้นก็จะติดตัวพวกนั้นไปเมื่อมันเก็บเครื่องสังเกตการณ์ไว้กับตัว เจ้าแค่ใช้เข็มทิศนี่ตามรอยพวกมันไป ครึ่งเดือนก็เกินพอแล้ว”
หลู่มู่รับเข็มทิศอย่างดีใจ
“ข้ารู้แล้วว่าต้องทำยังไง”
“เอารากษสสิบตนนี้ไปกับเจ้า ข้าต้องสอนวิธีใช้มันกับเจ้าหรือไม่?”
หลู่มู่ตาเป็นประกาย เขาพูดด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ต้อง ข้ารู้อยู่แล้ว! ข้าต้องรู้อยู่แล้ว! ข้าจะลืมสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองชี้แนะได้อย่างไร?”
“ข้าแค่สอนพื้นฐานการควบคุมมันให้กับเจ้า แต่มันก็เพียงพอแล้ว!”
“ไปได้แล้ว!”
หลู่มู่พารากษสทั้งสิบออกไป แต่หลังจากที่ผละออกจากตังกุยได้ หลู่มู่ก็เยือกเย็นลง
“ฮงมู่รับใช้เจ้าอย่างซื่อสัตย์มาหลายปี…”
เขาพูดกับตัวเอง
“แต่ท้ายสุดเขาก็เป็นแค่เครื่องมือที่ส่งไปตาย เจ้าคิดว่าข้าจะโง่เขลารับใช้เจ้าจนตายเหมือนกันเรอะ?”