The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 541
ด้วยการนำของไป่หยีเจี้ยน ทั้งห้าเดินลงขั้นบันไดไปสู่ใต้ดิน พวกเขาหยุดเดินหลังจากที่ลงมาแล้วครึ่งชั่วยาม ส่วนความลึกนั้นมิอาจบ่งบอกได้
จุดที่พวกเขาหยุดเดินยังไม่ใช่สุดทางของบันได แต่มันเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างโดยมนุษย์ในครึ่งทาง ส่วนขั้นบันไดที่เหลือก็ยังคงทอดยาวไปยังเบื้องล่าง
ส่วนลึกที่สุดของบันไดนั้นคือสถานที่ที่มีสมบัติวัตถุดิบที่เป็นสมบัติสุดท้าย ดูจากสถานที่แห่งนี้ก็บอกได้ว่ามันมีการป้องกันที่หนาแน่นกว่าสมบัติอื่นมาก
ถ้ำที่พวกเขาหยุดพักอยู่ตอนนี้ถูกสร้างจากตระกูลของผู้คุ้มกันสมบัติทั้งห้า ถ้าหากมีใครลงบันไดนี้มา เขาก็จะถูกคนทั้งตระกูลไล่ตาม ดังนั้นแล้วการมาถึงที่นี่ก็ไม่ต่างจากการทะยานขึ้นสู่นภา
เมื่อทุกคนเข้าถ้ำก็พบกับถ้ำเล็กและใหญ่ที่สร้างโดยลูกหลานตระกูลผู้คุมกันสมบัติ แต่น่าแปลกที่ในถ้ำนั้นเงียบสนิท ไม่มีคนในตระกูลแม้แต่คนเดียวที่นี่ ทุกคนที่แปลกใจไปยังส่วนลึกสุดของถ้ำและหยุดตรงที่หน้าม่านแสงใหญ่
ม่านแสงนี้เปล่งแสงเป็นรูปสัตว์อสูรสี่ตัว แต่ละตัวมีสีสันแปลกตา ใบหน้าของพวกมันดุร้ายอย่างมาก คนอื่นๆรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“ลำดับเขาสี่ส่วน?”
ชางก่วนชิงเอ๋อตาลุกวาว
“นี่เป็นเวทโบราณที่สูญหายไปแล้ว ถ้าไม่ใช้โลหิตของคนวางลำดับก็มีแต่จ้าวเทวะเท่านั้นที่ทำลายมันได้”
ต้องใช้จ้าวเทวะที่แข็งแกร่งในการทำลายงั้นหรือ? ซือหยูตกใจ เวทนี้แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ
ไป่หยีเจี้ยนพยักหน้า
“ใช่แล้ว นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลข้า แน่นอนว่าต้องมีการป้องกันที่แน่นหนา”
ไป่หยีเจี้ยนหยดโลหิตตัวเองลงในม่านแสง
ม่านแสงสลายตัวไป เส้นทางสำหรับหนึ่งคนเปิดออก
“เข้าไปซะ จำไว้ว่าพวกเจ้ามีเวลาครึ่งวัน”
ซือหยูผู้มุ่งหวังเข้าไปกับเซี่ยจิงหยู คนที่เหลือเดินตามพวกเขาไป
จากนั้นไป่หยีเจี้ยนก็กลับไปยังแท่นบูชา
พรึ่บ–
ชายหนุ่มบินตามเขามาจากด้านหลัง
“ท่านพ่อ เหตุใดถึงให้คนนอกเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเล่า? ข้าไม่เข้าใจเลย”
ชายหนุ่มกึ่งภูติผู้ที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวงนี้คือบุตรชายของไป่หยีเจี้ยน
ไป่หยีเจี้ยนถามกลับ
“ทำไมล่ะ? คนในตระกูลเราก็ออกจากยอดเขาทั้งห้าไปแล้ว สระวิญญาณถูกทิ้งร้าง ถึงจะให้เศษขยะใช้มันก็ไม่เห็นจะเป็นไร”
แต่ชายหนุ่มก็ไม่พอใจ
“นี่มันดีเกินไปสำหรับพวกมัน ถ้าพวกมันโชคดีแล้วได้ทะลวงพลังหลายขั้นเล่า? ในนั้นยังมีศิษย์สำนักยูเฟิงที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวง ถ้าเขาได้เป็นขอบเขตภูติก็เท่ากับว่าเขาได้ใช้สระวิญญาณไปเปล่าๆไม่ใช่รึท่านพ่อ?”
“ฮ่าๆๆ….”
ไป่หยีเจี้ยนหัวเราะเสียงดัง
“ฉีเอ๋อ อย่าคิดเช่นนั้น! สระวิญญาณลับสวรรค์ถูกพวกเราใช้มาหลายร้อยปีแล้ว ผลของมันลดลงไปทุกวันคืน เหลือพลังอีกเพียงน้อยนิดเท่านั้น อย่างมากพวกนั้นก็ทำได้แค่ปรับแก้วพลังวิญญาณ หากไร้ผลในการเปลี่ยนแก้วพลังวิญญาณเป็นแก้วพลังชีวิต คนอย่างโจวจิ้งจะไปถึงขอบเขตภูติได้รึ?”
“และสิ่งที่ส่งผลในสระวิญญาณไม่ใช่ตัววารีในสระ แต่มันคือก้อนศิลาวิญญาณในตระต่างหาก สระวิญญาณมีตัวตนอยู่ได้ก็เพราะพลังงานจากศิลาที่แผ่ออกมาในวารี! ข้าตรวจสอบศิลาวิญญาณพวกนั้นหมดแล้ว พลังเก้าในสิบส่วนหายไปหมด พลังที่ไม่บริสุทธิ์ก็เข้าไปในอีกหนึ่งส่วนที่เหลือ ถ้าพลังไม่บริสุทธิ์ ศิลาวิญญาณก็ไร้ค่า”
“แค่พลังที่เหลือในสระวิญญาณกับเวลาครึ่งวัน พวกนั้นคงไม่ได้อะไรไปมากนักหรอก”
ไป่หยีเจี้ยนพูดอย่างมั่นจ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาปล่อยให้คนนอกได้ใช้สระวิญญาณลับสวรรค์
ไป่ฉีใจเย็นลงเล็กน้อย
“ฮื่ม! ให้พวกมันเอาเปรียบเราไปสักหน่อยเถอะ ถ้าพวกมันเพิ่มพลังมาได้บ้าง นั่นก็จะทำให้การทำลายข้อจำกัดที่เทียนจี่จื้อตั้งเอาไว้! จากนั้นข้าจะฆ่ามันให้หมด! ชางก่วนชิงเอ๋อก็ไม่เว้น!”
ไป่หยีเจี้ยนถอนหายใจแรง
“เจ้าฆ่าคนอื่นไปซะ แต่ข้ารู้ว่าชางก่วนชิงเอ๋อยังบริสุทธิ์และมีธาตุหยินอยู่มาก ถ้าเจ้าได้ธาตุหยินไป นั่นจะทำให้เจ้าได้เป็นภูติ!”
นางน่ะรึ? เมื่อใบหน้าอันงดงามแล่นเข้าสู่จิตใจของไป่ฉี ดัชนีของเขาก็กระดิกไปมาอย่างแรง
“ขอบคุณท่านพ่อ!”
“เอาล่ะ เจ้าดูแลส่วนนี้ต่อไป ดูว่ามีคนกลุ่มอื่นที่เหมาะสมอีกหรือไม่! ถ้าสมบัติสุดท้ายเปิดออก ตระกูลเราก็จะได้เป็นอิสระจากชะตาที่ถูกจองจำมาหลายร้อยปี”
ไป่หยีเจี้ยนตาเป็นประกาย
…
เมื่อซือหยูเดินผ่านเวท ก็ได้พบกับถ้ำแคบๆ ที่กลางถ้ำนั้นมีสระน้ำที่มีคลื่นสีครามอยู่ภายใน มันกว้างเพียงด้านละสิบศอก การใช้พร้อมกันห้าคนถือเป็นขีดจำกัด
แต่สระสีครามก็ปล่อยพลังอันอ่อนโยนออกมาสู่อากาศโดยรอบ มันเหมือนกับสุราเลิศรสที่ได้รับการหมักบ่มมาเป็นเวลานาน กลิ่นอันหอมหวานของมันทำให้มึนเมา
พรึ่บ–
โจวจิ้งพุ่งนำเลือกที่ในสระ จากนั้นพลังสีครามในสระน้ำก็ไหลเข้าสู่รูขุมขนของเขา จากนั้นแก้วพลังของเขาก็งดงามขึ้น มันคือแก้วพลังที่ถูกชำระล้าง!
ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูเลือกที่ข้างกันและลงสระ ในสระเย็นนั้นเย็นสดชื่น จากนั้นพลังก็ไหลเข้าสู่รูขุมขนของซือหยูดั่งมัจฉา เมื่อพลังไปถึงจุดกำเนิดพลัง มันก็เริ่มสร้างแก้วพลังวิญญาณที่สามของเขา!
เขากำลังจะเป็นกึ่งเทพ! ผลของสระทำให้ซือหยูรู้สึกยินดี ที่ทวีปเฉินหลงมิอาจเกิดเรื่องแบบนี้ได้เลย
พลังไหลเข้าสู่ร่างของซือหยูอย่างไม่รู้จบและเริ่มเติมเต็มแก้วพลังวิญญาณ หากมันก่อรูปร่างสำเร็ต เขาจะเข้าสู่ขอบเขตของกึ่งภูติ
ชางก่วนชิงเอ๋อกับราชาปีศาจลงสู่สระในเวลาต่อมา
ยังไม่มีใครเข้าใจราชาปีศาจ แม้ว่าร่างกายเขาจะอยู่ในขอบเขตภูติ ฐานพลังของเขาก็ยังอยู่ที่กึ่งเทพ นั่นทำให้เขายังไม่เป็นกึ่งภูติเลย
ส่วนชางก่วนชิงเอ๋อเป็นภูติอยู่แล้ว พลังในสระนั้นไม่ได้มีผลอะไรกับนางนัก
“ฮ่าๆ พี่หิมะทมิฬ ให้ข้านวดไหล่ให้นะ”
ชางก่วนชิงเอ๋อหัวเราะอย่างอ่อนหวานและเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม นางยื่นมือเล็กๆนวดไหล่ให้ซือหยู
“พี่หิมะทมิฬ ท่านฝึกฝนมาเยอะจริงๆ”
ไม่ผิดเลย นางกำลังพยายามจะเอาใจซือหยู แต่ซือหยูก็อยู่ในจุดสำคัญของการบ่มเพาะ เขาไม่มีเวลาจะสนใจนาง
ส่วนเซี่ยจิงหยู นางไม่ได้เริ่มบ่มเพาะทันทีเหมือนกับซือหยู นางกลับสังเกตชางก่วนชิงเอ๋อมาโดยตลอด
เมื่อเห็นว่าชางก่วนชิงเอ๋อไม่ได้ทำอย่างที่นางคิด นางก็ดึงซือหยูมาที่ข้างนางเพื่อแยกเขาออกจากชางก่วนชิงเอ๋อ
“แม่นางชางก่วน โปรดระวังการกระทำของเจ้า อย่ารบกวนพี่หยูถ้าเจ้าหวังดีกับเขาจริงๆ”
ชางก่วนชิงเอ๋อพยายามจะเอาใจซือหยู แต่นางก็รบกวนการบ่มเพาะและทำให้เซี่ยจิงหยูไม่พอใจ
“เจ้าจะอวดดีไปแล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะพี่หิมะทมิฬ เจ้าคิดรึว่าข้าจะสุภาพกับเจ้า?”
ชางก่วนชิงเอ๋อขู่ออกมาโดยไม่ปิดบัง ด้วยพลังที่นางมี นางสังหารเซี่ยจิงหยูได้เพียงการยกมือเดียวขึ้นมา และนางก็ไม่ต้องใช้พลังมากมายเลย
เซี่ยจิงหยูยังคงไม่กลัว
“คิดว่าข้ากลัวเจ้าสินะ?”
“ฮื่ม!”
ที่สุดชางก่วนชิงเอ๋อไม่กล้าทำอะไรกับเซี่ยจิงหยู เพราะนางจะทำให้ซือหยูโกรธยิ่งกว่าเดิมม
จากนั้นชางก่วนชิงเอ๋อก็ไม่เล่นในสระอีก นางว่ายไปที่ขอบสระอีกด้านด้วยความเบื่อหน่าย นางไม่ได้บ่มเพาะพลังเลย นางเพียงดูดซับพลังในสระเท่านั้น
ส่วนโจวจิ้งก็โกรธแค้นอย่างมากเมื่อคิดถึงศิษย์น้องเจิ่งซื่อชิงที่ตายอย่างโหดร้ายในป่ารูปปั้น สุดท้ายก็เพื่อให้ชางก่วนชิงเอ๋อได้มีตำแหน่งให้เล่นไปมาในสระ! โจวจิ้งรู้สึกว่าศิษย์น้องของเขาตายอย่างไร้ค่า
“เอ๋ ก้นสระมีศิลาวิญญาณเยอะเลย”
ชางก่วนชิงเอ๋อพบหินก้อนหนึ่งขณะที่บางเบื่อ มันคือศิลาวิญญาณสีเทาขาวที่มีขนาดเท่าลูกตา ด้วยระดับสัมผัสของภูติ นางพบศิลาวิญญาณตั้งแต่ลงมาในสระ นางเพียงแค่แสร้งทำเป็นตกใจ
เมื่อพูดจบ โจวจิ้งกับราชาปีศาจก็หยุดการบ่มเพาะทันทีและมองศิลาวิญญาณในมือนาง
ไม่ยากที่จะสัมผัสได้ถึงพลังอ่อนๆจากศิลาวิญญาณสีขาวหม่นเหล่านี้ มันคือพลังเดียวกับน้ำในสระ หรือว่าพลังจากน้ำในสระจะมาจากหินที่อยู้ก้นสระเหล่านี้?
ทั้งสองรีบดำคว้าศิลาวิญญาณจำนวนมากจากก้นสระ แต่ทั้งหมดก็เป็นสีขาวหม่นที่มีสีดำปะปนอยู่ด้วย นั่นทำให้พลังค่อนข้างไม่บริสุทธิ์
“น่าเสียดายที่พลังอันเป็นมลทินเข้าสู่ศิลาวิญญาณไปแล้ว พลังในนี้ใช้ไม่ได้”
ราชาปีศาจโยนศิลาวิญญาณทิ้งไปและถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ถ้าเขาดูดซับพลังที่ไม่บริสุทธิ์ไป พลังที่ไม่บริสุทธิ์นั้นก็จะทำลายสายพลังภายในของเขา และจากนั้นก็อาจจะส่งผลถึงจุดกำเนิดพลัง และแก้วพลังก็จะแตกออก พลังที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ไม่ต่างกับยาพิษร้ายแรงเลย
แม้ว่าพลังจากศิลาวิญญาณจะมีความบริสุทธิ์อยู่บ้าง มันก็น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มองเห็นส่วนที่ใช้ได้อยู่เลย ทั้งสองยังคงหาศิลาวิญญาณก้อนอื่นต่อไป
เซี่ยจิงหยูเริ่มสนใจศิลาวิญญาณและหยิบขึ้นมามองดู แต่นั่นก็ได้ผลไม่ต่างกัน นางพบเพียงแต่ศิลาวิญญาณสีหม่น ศิลาวิญญาณเหล่านั้นเต็มไปด้วยมลทิน
เสียงหัวเราะของชางก่วนชิงเอ๋อดังขึ้น นางเล่นตลกกับทั้งสามคนได้สำเร็จ
“จนถึงตอนนี้พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ? มีโอกาสสูงนักที่สระวิญญาณจะถูกทิ้งเอาไว้ ไอ้เวรนั่นถึงปล่อยให้พวกเราใช้ยังไงล่ะ”
ราชาปีศาจเงียบไปนาน เขาถอนหายใจเบาๆและหยุดมองหาศิลาวิญญาณ เขารีบกลับไปดูดซับพลังในสระที่เหลือน้อยนิดอยู่แล้ว
ส่วนโจวจิ้งก็หาอีกไม่กี่รอบก่อนจะแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขาใช้ศิลาวิญญาณที่เหลืออยู่ในสระนี้ไม่ได้เลย
“อย่างที่คิด ไอ้บัดซบนั่นไม่ได้หวังดีกับเรา!”
โจวจิ้งพูดเบาๆ แต่จู่ๆเขาก็พบว่าพลังในสระกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
ราวกับว่าเกิดคลื่นในท้องของราชาปีศาจ มันดูดซับพลังในสระมหาศาลราวกับวาฬที่กลืนกินอาหาร ไม่นานพลังเกือบทั้งหมดของสระก็ถูกดูดเข้าไป!
“นี่เจ้า!”
โจวจิ้งโกรธเกรี้ยว พลังมีสระก็มีน้อยอยู่แล้ว ถ้าราชาปีศาจดูดซับพลังมากขึ้นไปอีก คนอื่นก็จะได้พลังน้อยลง
“ก็ได้! จะได้รู้ว่าใครเร็วกว่ากัน!”
โจวจิ้งตะโกน แก้วพลังชีวิตทั้งสามของเขาถูกปลดปล่อย พวกมันดูดซับพลังอย่างบ้าคลั่ง
ราชาปีศาจขมวดคิ้วและดูดซับพลังด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
ทั้งสองดูดซับพลังราวกับคนบ้า แม้แต่ซือหยูที่กำลังบ่มเพาะก็ลืมตาขึ้นมา
เขากับเซี่ยจิงหยูไม่มีพลังที่จะดูดซับพลังได้รวดเร็วเช่นนั้น ด้วยความเร็วเท่านี้ พวกเขาไม่ต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน พวกเขาจะดูดพลังจากสระหมดในสามชั่วยาม