The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 662
662 – เผยที่ซ่อน
ซือหยูไม่สนใจหลิงเอ๋อกับยิ่งเฉิงแม้แต่น้อย
“ขอบคุณท่านหัวหน้า ข้าไม่แน่ใจว่าจะเรียกท่านอย่างไรดี”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ
“ข้าก็แค่อยากจะช่วยเจ้าในแนวทางของเจ้า เห็นแก่การตอบแทนเจ้าเมื่อตอนกลางวัน พอเราไปถึงยอดเขา ถือว่าเขาไม่มีสิ่งใดต่อกันแล้ว พวกข้าสามคนก็มีสถานะพิเศษที่บอกเจ้าไม่ได้แน่นอนว่าข้าจะไม่ถามเรื่องเจ้าเช่นกัน เมื่อไปถึงเมืองแล้วเราจะแยกกันทันที”
ชื่อหยุไม่อยากได้อะไรที่ดีไม่กว่านี้แล้ว เขาพยักหน้าด้วยความยินดี
“ท่านพ่อ ท่านนี่มัน…”
หลิงเอ๋อไม่พอใจ นางทนไม่ได้ที่จะมีชื่อหยูอยู่รอบๆ
ยิ่งเฉิงยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่
“ข้าตัดสินไปแล้ว”
ชายวัยกลางคนเหลือบมองทั้งสอง
“เราจะเดินทางทันทีตอนพลบคลําหลังพักอีกครึ่งวัน”
แม้ว่าหลิงเอ๋อจะแอบไม่พอใจ นางก็โต้แย้งพ่อของตัวเองไม่ได้ นางทําได้แค่มองชื่อหยุด้วยความชิงชัง
“ข้าจะไม่มีวันอภัยถ้าเด็กอย่างเจ้ากล้าสร้างปัญหาให้พวกข้า!”
ชื่อหมูยักไหล่และเตรียมพัก ไม่นานก็ถึงเวลาพลบค่ํา
“เอาล่ะ เตรียมพร้อมได้แล้ว หลิงเอ๋อ ยิ่งเฉิง ตรวจดูผ้าคลุมล่องหนของพวกเจ้าด้วย!”
ชายวัยกลางคนตะโกนและหยิบเอาผ้าคลุมกว้างบางๆที่แทบจะโปร่งใสออกมาจากในอก
หลิงเอ๋อกับยิ่งเฉิงรับผ้าคลุมของตัวเองและตรวจดูมันทุกระเบียดนิ้ว ทั้งคู่รายงานพร้อมกัน
“มันยังใช้ได้ เราไปได้แล้ว”
เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ทั้งสองหายใจเข้าลึกด้วยความกังวล
ชายวัยกลางคนเดินนา
“เอาล่ะ พอห่างจากเป้าหมายหกสิบลี้ เราจะใส่ผ้าคลุมล่องหนทันที น้องชาย เจ้ากับข้าจะใช้ผ้าคลุมผืนเดียวกัน”
ชื่อหยุพยักหน้าแทนคําตอบ เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามพวกเขาก็อยู่ห่างจากอาณาจักรทมิฬหกสิ
“หลิงเอ๋อ ยิ่งเฉิง ตามข้าใกล้ๆมาทางซ้ายกับขวา ถ้ามีอะไรข้าจะได้ช่วยพวกเจ้าทัน”
เขากางผ้าคลุมห่มตัวเองและซือหยูไว้ภายใน
ยิ่งเฉิงอยู่ด้านซ้าย ชื่อหยูอยู่ด้านขวาของหัวหน้า หลิงเอ๋ออยู่ถัดจากชื่อหยู ทั้งสี่หายตัวไปในความมืดพร้อมกัน
“บัดซบ อย่ามาใกล้ข้านะ!”
หลิงเอ๋อตะโกนเสียงดังเมื่อเดินได้ไม่กี่ก้าว
นางยืนใกล้ชื่อหยุที่ด้านขวาเมื่อเดินไปข้างหน้า เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะไม่เดินชนกัน นั่นทําให้นางไม่สบายใจ
ชื่อหยูยักไหล่เพราะทําอะไรไม่ได้
“ไม่ใช่เพราะเจ้าเดินใกล้เข้าหรอก? ถ้าเจ้าไม่ชอบก็เดินไกลๆสิ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก”
หลิงเอ๋อตะโกนกลับด้วยความโกรธ
“ไอ้บ้า! ข้าจะจัดการเจ้าที่หลัง!”
เพราะอย่างไรนางก็รู้ว่านางมิอาจอยู่ไกลเกินไปจากผู้เป็นพ่อ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเขาจะได้ช่วยนางทัน!
ชื่อหมูหัวเราะและไม่ตอบอะไร ยิ่งเฉิงที่เดินอยู่อีกด้านมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น
“หุบปาก! แล้วเดินไป!”
ชายวัยกลางคนด
ทั้งสี่เดินไปข้างหน้าอีกครั้งทั้งที่หลิงเอ๋อไม่พอใจ ทั้งคู่กดพลังชีวิตและพลังวิญญษณทั้งหมดของตัวเองเอาไว้จนไม่มีใครสัมผัสได้ในท้องฟ้ายามค่ําคืน พวกเขาเป็นเพียงอากาศธาตุที่มิอาจมีใครมองเห็นได้
แต่พวกเขาก็ต้องเดินอย่างช้ามากๆเช่นเดียวกัน ตามปกติพวกเขาจะเดินทางหกสิบได้ในไม่กี่อึดใจ แต่ด้วยกองทัพศัตรูทําให้พวกเขาต้องใช้เวลาเกือบชั่วยามครึ่ง และพวกเขาก็ต้องระวังตัวอย่างมากตลอดการเดินทาง
สุดท้ายยอดเขาใหญ่ก็มาอยู่ตรงหน้า กองทัพศัตรูก็อยู่ต่อหน้าต่อตาเช่นกัน
มีทัพจากต่างโลกซ่อนตัวอยู่เป็นระยะแทบทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างที่กําบังหรือบนต้นไม้ก็จะมีคนซ่อนอยู่ บางคนซ่อนตัวแม้กระทั่งในพุ่มไม้ พวกมันกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด!
ถ้าหากทั้งสี่ส่งเสียงดัง พวกที่ซ่อนตัวอยู่จะต้องรู้ตัวแน่นอน พอถึงตอนนั้นพวกเขาก็คงจะไม่มีโอกาสหนีอีกแล้ว!
ในเวลาที่อันตรายที่สุด แม้แต่ชายวัยกลางคนยังต้องระวังตัวขึ้น ซือหยูสังเกตว่าลมหายใจของเขาเร็วขึ้น
พร้อมกันนั้นหลิงเอ๋อยังเข้าใกล้ซื้อหยยิ่งกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว นางกังวลใจจนไม่รู้ตัวว่าแขนสัมผัสกับแขนของซื้อหยู นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นกั้นบางๆระหว่างความเป็นความตายมาอยู่ตรงหน้า
หัวหน้าก้าวไปข้างหน้า ชื่อหยุรู้สึกได้ว่าฝีเท้าของเขาหนักขึ้น เขาจึงรีบตามไป
หลิงเอ๋อกับยิ่งเฉิงก็รีบตามทั้งคู่ไปเช่นกัน ไม่มีใครกล้าจะหายใจแรงในตอนนี้ พวกเขากลัวว่าจะถูกเจอตัว
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว
ระยะเก้าอี้ที่ดูใกล้นั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับเดินข้ามภูเขาทั้งลูก พวกเขาเคลื่อนตัวช้าๆและมองรอบๆในทุกย่างก้าว
แกรับ
ทั้งสี่หยุดเดินทันที พวกเขาขนลุกไปทั้งตัว นั่นก็เพราะมีคนจากต่างโลกคนหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้โดยไม่คาดคิด!
เท้าซ้ายของเขาเหยียบปลายผ้าคลุมล่องหนของหลิงเอ๋อพอดิบพอดีและทําให้เกิด เสียงแปลกๆเสียงนี้ทําให้หัวใจของหัวหน้าและยิ่งเฉิงเต้นอย่างรุนแรง
ทั้งสองขมวดคิ้ว สีหน้าทั้งคู่เปลี่ยนไป พวกเขาไม่กล้าจะกลับตัวและจ้องมองคนต่างโลกที่กระโดดลงมาตาเขม็ง
“เอ๋?”
คนที่กระโดดลงมานั้นสวมชุดสีอําพันและเป็นกิ่งภูติที่มีแก้วสองดวง
เขาอ้าปากด้วยความแปลกใจและยกเท้าด้วยความสงสัย พื้นนั้นมืดสนิทและไม่มีอะไรแปลกๆให้เห็น
จากนั้นเขาก็มองพื้นเท้า มันไม่มีสิ่งใดแปลกเช่นกัน เขาดูสงสัยอย่างมากและลูบคางคิด
ครู่เดียว เขาส่ายหน้าและมองซ้ายขวา เขาปลดกางเกงและเริ่มใส่ต้นไม้ใหญ่
หลิงเอ๋อหนน้าซีด หัวใจของนางเต้นแรง เหงื่อนั้นซึมออกมาจากฝ่ามือ แขนนางที่ชนซื้อหยูเปียกชุ่มจากเหงื่อ
ร่างของนางดูอ่อนตัวลงไปเมื่อมองซ้ายขวาด้วยความกลัว นางยื่นแขนจับเอวของชื่อหยุไว้ไม่ให้ล้มลงไปโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นเวลาที่นางกลัวมาก แม้แต่พ่อของนางกับยิ่งเฉิงก็กลัวจนเกือบตาย ความกลัวทําให้พวกเขาเดินอย่างระวังมากขึ้น
พวกเขาใช้เวลาเกือบทั้งคืนในการเดินระยะเก้าอี้นี้ และตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มส่องแสงแสดงงยามรุ่งสางที่กําลังจะมาถึงในอีกไม่นาน
การเดินอันยากลําบากได้มาถึงจุดจบ พวกเขามาถึงตีนเขาแล้ว!
มีทางเข้าอยู่ด้านนอกอย่างที่ชื่อหยูคาดเอาไว้ แต่ก็มีก้อนแสงสีอําพันสว่างเก้าดวงอยู่ข้างหน้า
ก้อนแสงเหล่านี้มีพลังต่อต้านที่แข็งแกร่งมาก ซือหยูรู้สึกถึงอันตรายที่ปล่อยออกมาจากมันเขาเชื่อว่าคนที่ฝืนเข้าไปจะต้องพบเจอกับชะตาที่น่ากลัวเป็นแน่
“เฮ้อ…”
หลิงเอ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ปลอดภัยซักที…”
นางพูดเบาๆ
ตอนนั้นเอง นางเพิ่งรู้ตัวว่านางเกาะแขนชื่อหมูมาเกือบตลอดทั้งคืน นางเกือบจะตะโกนออกมาเมื่อรู้ตัว
นางรีบผละมือออกราวกับถูกไฟดูด นางจ้องมองซื้อหยูด้วยความโกรธ นางพูดเบาๆด้วยความเขินอาย
“เจ้าเจ้าฉวยโอกาสข้า!”
ชื่อหนูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ําไห้
“พี่สาว เจ้าเกาะแขนข้าเอง ถ้าจะให้พูด ข้านี่แหละที่ถูกฉวยโอกาส”
“เจ้า! ข้า…”
หลิงเอ๋อโกรธมาก
เมื่อคิดว่านางได้อยู่ใกล้ชิดกับชายคนนี้มาทั้งคืน นางรู้สึกขนลุกและตะโกน
“ข้าจะตัดการเจ้าพอได้กลับไปแล้ว!”
จากนั้นนางก็ทิ้งระยะระหว่างซือหยูแต่ก็จ้องเขาด้วยความโกรธต่อไป ชายวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างหมดหวังเมื่อมองการทําเป็นเล่นของทั้งสอง เขาหยิบลูกแก้วสีหยกออกมา
ลูกแก้วนี้เหมือนกับก้อนพลังที่ทางเข้าแต่ไม่ได้เปล่งแสง ดูเหมือนว่ามันจะมาจากแหล่งเดียวกันเพราะมีความคล้ายกันมาก
ชื่อหยุรู้ทันทีว่าลูกแก้วนี้คือกุญแจสู่อาณาจักรทมิฬ มีแค่คนที่มีลูกแก้วเท่านั้นที่จะไม่โดนพลังต่อต้านและเข้าไปได้อย่างปลอดภัย
ของเข้าไปพร้อมกัน พวกเขาจําเป็นต้องเดินใกล้กันอย่างมาก
แน่นอนว่าหัวหน้าต้องคาบลูกแก้วไว้ในปก เขาจับแขนยิ่งเฉิงด้วยมือซ้ายและจับแขนซื้อหยุด้วยมือขวา เขายังมองชื่อหยูเพื่อส่งสัญญาณให้เขาจับแขนหลิงเอ๋อ
ชื่อหมูยื่นมือไปหาหลิงเอ๋อ หลิงเอ๋อถึงได้รู้ว่าพวกนางกําลังจะได้เข้าสู่ยอดเขา
แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า นางจึงหลบเขาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าไม่อยากให้เจ้ามาแตะตัวข้า! ข้าจะไปเดินหลังท่านพ่อ”
นางไปยืนที่หลังหัวหน้า แต่ในตอนนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น
“ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าแล้ว! ข้ารอมาตั้งนาน!”
มีเสียงอันเย็นชาดังมาจากหลังหลิงเอ๋อ
“ข้ารู้ว่าสัญชาตญาณข้าไม่ผิด ข้าเหยียบของสําคัญจริงๆด้วย!”
พวกเขามองไปทางต้นเสียงและไม่เห็นใครอยู่เลย! แต่แสงอ่อนๆในยามเช้าทําให้พวกเขาเห็นรอยเท้าบนผ้าคลุมล่องหนของหลิงเอ๋อ พวกเขาเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นมัน
หัวหน้าหน่วยรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แม้เขาจะระวังตัวอย่างมาก เขาไม่คิดด้วยซ้ําว่าการเดินทางจะยาวนานอย่างนี้
ดังนั้นเมื่อมาถึง เมื่อท้องนภาส่องแสง หลิงเอ๋อจึงถูกเจอตัว!
พรึบ
เสียงดังมาจากข้างหลังหลิงเอ๋อเมื่อผ้าคลุมล่องหนที่ไม่ใช่ของพวกนางเปิดออก เป็นชายหนุ่มที่กระโดดลงจากต้นไม้มาฉีเมื่อครู่!
“ออกมานะ!”
เขาตะโกนและเอื้อมมือไปทางหลิงเอ๋อทันทีที่ปรากฏตัว หลิงเอ๋อตกใจมากและตอบสนองไม่ทัน แม้นางจะพยายามหลบ ผ้าคลุมของนางก็ขาดเป็นชิ้นๆ
หลิงเอ๋อกรีดร้องเสียงดัง ใบหน้านางเต็มไปด้วยความกลัว นางรู้ว่านางเป็นแค่กึ่งภูติที่มีแก้วดวงเดียว นางไม่ใช่คู่มือของเขา!
“โอ้? แม่สาวน้อย! น่าตกใจจริงๆ”
ชายชุดสีอําพันดูแปลกใจ รอยยิ้มชั่วร้ายเผยบนใบหน้า
เขาก้าวขาซ้ายไปคว้าไหล่ของหลิงเอ๋อ ดวงตาเขาราวกับสัตว์ป่าที่เต็มไปด้วยราคะ
หลิงเอ๋อก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ แต่นางก็มิอาจเลี่ยงการเอื้อมคว้าของคนที่มีพลัวสูงกว่าได้
ที่แย่ที่สุดก็คือนางได้ผละตัวออกจากกลุ่ม พ่อของนางจึงช่วยไม่ทันการ