The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 941 - บดขยี้องครักษ์คนสุดท้าย
DND.
เพื่อเอาชีวิตรอดหัวหน้าองครักษ์ไม่มีทางเลือก เพราะเขาคือผู้ที่บ่มเพาะพลังมากว่าพันปี นอกจากจะถูกเอาชนะด้วยกำลัง เขาไม่มีวันยอมจำนนต่อผู้อ่อนแอ
และเขาก็มีหลายวิธีที่จะเป็นอิสระแม้จะอยู่ภายใต้การควบคุมวิญญาณแต่เขาก็ต้องชักสีหน้าเพราะซือหยูไม่แม้แต่จะคิดก่อนที่จะคว้ากรงเล็บของกระดูกโลหิตซัดเข้าไป
“ไม่ต้องหรอก!”
ฉั่วะ!
หัวหน้าองครักษ์กรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานร่างกายฉีกเป็นชิ้น ๆ ไม่เหลือแม้กระทั่งดวงวิญญาณ
มีอยู่สองเหตุผลที่ซือหยูสังหารเขา
หนึ่งคือผู้ที่มีชีวิตมานานหลายพันปีย่อมเชี่ยวชาญหลายวิชาซือหยูไม่แน่ใจว่าโอรสสวรรค์คุมวิญญาณมีจุดบกพร่องหรือไม่ ประการที่สอง นั่นคือเขาไม่เหมือนกับเมิ่งเถียนที่เต็มใจยอมจำนนเพราะพลังของซือหยู
หลังจากสังหารองครักษ์ทั้งห้าจนหมดสิ้นซือหยูมองไปยังม่านแสงอย่างไม่แยแส
“เจ้าถูกใจของขวัญจากข้าหรือไม่?”
ราชาเขตกลางมองท่าทางของซือหยูอย่างเยือกเย็นร่างเงาของเขาสลายหายไปทิ้งไว้เพียงคำพูด
“ข้าขอรับของขวัญชิ้นนี้ไว้หลังจากข้าออกจากการปิดประตูฝึกตน ข้าจะไปหาเจ้าด้วยตัวเอง”
วาบ!
ม่านแสงแตกดับดูเหมือนว่าราชาเขตกลางกำลังจะออกมาตามฆ่าซือหยูด้วยตัวเอง!
“เมื่อใดก็ได้…”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็นเช่นทุกที
ใบไม้ทองคำสลายหายไปซือหยูเสียใจมากที่ใบไม้จากเทพไม้ถูกใช้ไปแล้ว
แต่ก็เพราะใบไม้ทองคำนี้เองที่ช่วยชีวิตซือหยูเอาไว้ได้มิเช่นนั้นเขาคงจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตเมื่อต้องเผชิญหน้ากับร่างเงาของราชาเขตกลาง
เขามองเศษใบไม้สีทองที่ร่วงโรยพลางส่ายหน้าแต่ก่อนที่เขาจะเก็บของที่เหล่าองครักษ์ทั้งห้าทิ้งเอาไว้ เขาได้พบกับเศษใบที่พิเศษกว่าเศษอื่น
เศษใบอื่นมีสีเหลืองทองเว้นแต่เศษชิ้นนี้ที่สีหมองกว่ากันมากแต่มันคือเศษเดียวที่กักเก็บพลังอันชั่วร้ายเอาไว้ พลังนี้แตกต่างจากพลังอสูรเนรมิตร มันแข็งแกร่งและแปลกประหลาดกว่ามาก
ซือหยูสงสัยขณะที่เขากำลังจะเก็บเศษใบสีทอง เศษใบสีหมองที่สัมผัสกับมือก็ได้ทำให้เขารู้สึกแปลกราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนที่แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว!
ซือหยูฝืนกลืนน้ำลายและเก็บเศษใบทั้งหมดไปเขาคิดจะศึกษามันในภายหลัง จากนั้นจึงมองหาซากขององครักษ์แสงกระจ่าง
เขาเก็บแหวนมิติทุกวงสุดท้ายจึงหันไปมองกงซุนหวูซื่อ นางยังคงจ้องมองเขาด้วยความตกใจในใบหน้าเล็ก ๆ
“เจ้าเป็นคนฆ่าจักรพรรดิโลหิตใช่หรือไม่?”
ซือหยูขมวดคิ้วกงซุนหวูซื่อเห็นทุกอย่างไปแล้ว นางรู้ไพ่ตายของเขาเกือบจะทั้งหมด เขาลังเลว่าจะจัดการกับนนางอย่างไร สิ่งที่สมควรทำที่สุดก็คือการฆ่าปิดปากนาง แต่มันคือสิ่งที่ซือหยูไม่อยากทำมากที่สุด
“ใช่…”
ซือหยูตอบด้วยเสียงเรียบเฉยเขาจ้องมองกงซุนหวูซื่อและคิดหนัก
กงซุนหวูซื่อหน้าแดงเมื่อได้ฟังคำยืนยันนางดูเหนียมอายเป็นครั้งแรก
นางถาม
“แล้วที่เมืองเทียนหยาเจ้าก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตข้าจากอรหันต์ผีแล้วรับท่านั้นไปใช่ไหม?”
นางไม่รู้ตัวเลยว่านางตกอยู่ในอันตรายในครั้งนั้น
ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตามด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้ากงซุนหวูซื่อที่กำลังแดง
ซือหยูเซี่ยนที่นางรังเกียจคือคนเดียวกับบุรุษวิถีอสูรลึกลับที่นางไม่มีวันลืม!กงซุนหวูซื่อเชื่อคำพูดของซือหยูอย่างง่ายดายเพราะนางสัมผัสถึงความเหมือนกันของทั้งคู่ได้เมื่อไม่นานนี้ อีกทั้งนางยังได้เห็นกับตาว่าซือหยูเปลี่ยนรูปลักษณ์จากชายแก่เป็นชายหนุ่มรูปงามอย่างไร
นางถึงกับได้เห็นซือหยูสังหารองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าอย่างตระการตานางเข้าใจเรื่องแทบจะทั้งหมดแล้ว นางเพียงแค่ต้องการให้ซือหยูยืนยันจากปากเท่านั้น
“ว้าว!พี่หยูเซี่ยนคือคนคนนั้น!”
กงซุนหวูซื่อดีใจจนกระโดดโลดเต้นนางค่อนข้างจะดีใจ
“เจ้าต้องดีใจขนาดนั้นเลยหรือ?”
ซือหยูถาม
กงซุนหวูซื่อเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มและพยักหน้า
“ใช่สิ!ข้าดีใจ! ข้าอยากจะเจอเจ้ามาโดยตลอด ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะอยู่ข้าง ๆ มาตั้งแต่แรก!”
นางพูดต่อ
“ลองคิดดูสิจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ? ตอนที่ข้าตกอยู่ในอันตราย ชายวิถีอสูรคนนั้นผ่านมาช่วยชีวิตข้า! แล้วยังรับคำสาปแทนข้าอีก”
กงซุนหวูซื่อยิ้มใบหน้านางดูโล่งใจ
“ข้าควรจะรู้ตั้งแต่แรกว่าพี่หยูเซี่ยนคือคนคนนั้น!”
นางเข้าใกล้ซือหยูมากขึ้นขณะที่พูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาถึงจมูก
นางกระพริบตา
“ขอข้าดูคำสาปจะได้หรือไม่?”
ซือหยูไม่ปฏิเสธเขาใช้พลังชีวิตปลดปล่อยใบหน้าภูติผีที่เหมือนสัตว์ประหลาดชั่วร้ายออกมาให้เห็น
กงซุนหวูซื่อกัดปากด้วยความรู้สึกผิดนี่เป็นเขาจริง ๆ
ความรู้สึกต่างๆ มากมายเกิดขึ้นในใจนาง นางผู้มักจะมีใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับเด็กสาวได้มีสีหน้าของหญิงสาวแรกรุ่นปรากฏ
“ข้าเจอวิธีแก้คำสาปแล้วข้าแค่รอจนถึงเวลาเท่านั้น เจ้าไม่ต้องห่วง…”
ซือหยูตอบ
กงซุนหวูซื่อยิ้มเมื่อได้ฟัง
นางคิด…จริงสิบุรุษวิถีอสูรที่บดขยี้ห้าองครักษ์แสงกระจ่างกับจักรพรรดิโลหิตจะโดนคำสาปกระจอก ๆ เล่นงานได้หรือ?
จากนั้นนางหายใจเข้าเบา ๆ พร้อมกับเงยหน้าและกระพริบตาที่กระจ่างใสราวกับมณีสีม่วง นางจับจ้องมองซือหยูราวกับพยายามจะจดจำชายหนุ่มผมสีเงินนี้ไว้ให้ขึ้นใจเพื่อที่จะได้ไม่มีวันลืม
จากนั้นนางหลับตาช้า ๆ
“มาสิข้าเตรียมพร้อมแล้ว”
ซือหยูก้มหน้ามองนาง
“เจ้ารู้ว่าข้าจะทำอะไรหรือ?”
“ใช่”
กงซุนหวูซื่อพยักหน้านางฝืนยิ้ม
นางพูด
“ศัตรูของพี่หยูเซี่ยนคือราชาเขตกลางพี่หยูเซี่ยนเองก็ปกปิดตัวตนจนถึงตอนนี้ พี่หยูเซี่ยนไม่อยากให้ใครอื่นรู้ใช่ไหม? แล้วพี่หยูเซี่ยนก็อยากจะเก็บเรื่องการสังหารห้าองครักษ์แสงกระจ่างเป็นความลับด้วย แต่ถ้าข้าเห็นมันทั้งหมด ข้าก็มีลมหายใจต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…”
นางรู้ดีว่าใครที่เก็บความลับได้…ซึ่งนั่นก็คือคนตาย!สิ่งมีชีวิตหลากหลายมิอาจเชื่อใจ ต่อให้เชื่อใจได้ก็เสี่ยงมากที่จะถูกค้นดูจากดวงวิญญาณ
พอถึงตอนนั้นความทรงจำนี้จะถูกขุดขึ้นมา กงซุนหวูซื่อรู้ทุกอย่างดี นางเตรียมตัวตายแล้ว
“เจ้าไม่กลัวตายหรือ?”
ซือหยูถามเขาเบิกตากว้างมองนาง
กงซุนหวูซื่อส่ายหัวเล็กๆ ของนาง
“ข้าไม่กลัวใช้ชีวิตมาถึงวันนี้ก็ดีเกินไปสำหรับข้าแล้ว ด้วยร่างกายเช่นนี้ เป็นปาฏิหาริย์ที่ข้ายังอยู่ได้ ข้ายินดีแล้วที่ได้เจอคนที่ข้าต้องการก่อนตาย แล้วข้าก็ตายเพื่อเก็บซ่อนความลับของเจ้าด้วย”
นางยังอายุน้อยแต่ก็เตรียมตัวตายมาก่อนหน้ามันคือเครื่องบ่งบอกว่านางเป็นคนที่สุขุมเพียงใด
ซือหยูมองนางและเงียบอยู่นาน.novel-lucky.
“เจ้าอยากได้สิ่งใดก่อนตายหรือไม่?”
กงซุนหวูซื่อคิดและส่ายหน้า แต่จากนั้นนางก็นึกขึ้นได้
“จริงๆ แล้ว ข้าอยากจะรู้นามเจ้า”
สัญาชาตญาณบอกนางว่าซือหยูเซี่ยนเป็นแค่ชื่อปลอม
ซือหยูเงียบไปนานนานจนกงซุนหวูซื่อผิดหวัง นางคิดว่าเขาคงจะไม่บอก
จากนั้นเสียงอันอ่อนโยนได้ดังขึ้น
“คนจากจิวโจวเรียกข้าว่าซือหยูเซี่ยนคนจากกระโจมเทพสวรรค์เรียกข้าว่าหยินหยู มีแค่คนจากบ้านเกิดข้าเท่านั้นที่เรียกชื่อของข้า…ซือหยู”
“ซือหยู…ซือ หยู”
กงซุนหวูซื่อพูดเบาๆ สองครั้ง ใบหน้านางเป็นประกายอีกครั้ง
นางยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“เจ้าชื่อนี้เองสินะข้าไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว เอ้า มาสิ…”
นางหลับตาลงอีกครั้งขนตาคู่นั้นราวกับพัดที่สั่นไหวบางเบา มันสื่อถึงความกลัวในใจ ความไม่กลัวเกรงที่แสดงออกมานั้นเพียงเพื่อแสร้งให้ซือหยูไม่รู้สึกผิด
“อืม”
ซือหยูพยักหน้าและยื่นมือไปดีดหน้าผากนางก่อนจะดึงมือกลับในทันที
“มันจบแล้วล่ะ”
กงซุนหวูซื่อลูบหน้าผากและลืมตาด้วยความสับสนนางถามด้วยความแปลกใจ
“เจ้าไม่อยากให้ข้าตายเหรอ?”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“ข้าไม่จำเป็นต้องฆ่าเจ้าอีกแล้ว”
อย่างไรเขาก็จะหนีออกจากตำหนักโลหิตต่อให้กงซุนหวูซื่อรู้ความลับของเขาหรือไม่ก็ย่อมไร้ความหมาย กงซุนหวูซื่อดวงตาแจ่มใจขึ้นเมื่อได้ฟัง
ซือหยูมองรอบๆ องครักษ์ทั้งห้าแตกดับไปแล้ว มิติโกลาหลเองก็หายไป ผู้คนจากตระกูลชางก่วนและตำหนักโลหิตกลับมาได้เรื่อย ๆ
“หวูซื่อลาก่อน ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
ซือหยูประสานมือบอกลานางเขาก้าวไปยังรอยแยกมิติและจากไปอย่างรวดเร็ว
กงซุนหวูซื่อมองซือหยูที่ห่างออกไปและยิ้มแย้มต่อมานางบีบสร้อยแยกจนแตกเป็นชิ้น ๆ ชายแก่คนหนึ่งข้ามมิติตรงมาหานาง
เขาดูกระวนกระวายและเมื่อเห็นว่ากงซุนหวูซื่อไร้รอยขีดขวดและปลอดภัยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาตำหนินาง
“คุณหนูทำไมถึงทำลายสร้อยหยกแล้วเรียกข้ามาหาตอนนี้เล่า? องครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าจากเขตกลางผนึกที่นี่เอาไว้ ข้าคิดว่าท่านติดอยู่ที่นี่!”
ผู้เฒ่าตรงหน้านางคืออสูรเนรมิตรที่ปกป้องนางอย่างลับๆ เขาก็คือผู้เฒ่าหลานคนเดียวกับที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักนอกที่ซือหยูเคยได้ยิน
แต่เพื่อการเติบโตของกงซุนหวูซื่อเขามิอาจปกป้องนางได้อย่างใกล้ชิด เขาจะปรากฏตัวออกมาเมื่อกงซุนหวูซื่อตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ เท่านั้น
มันแย่มากที่องครักษ์แสงกระจ่างปรากฏตัวเร็วเกินไปและมิติโกลาหลก็เกือบทำให้เขาคลาดกับกงซุนหวูซื่อ
กงซุนหวูซื่อยิ้ม
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้วข้าก็โชคดีด้วยที่พวกไอ้แก่นั่นเข้ามาวุ่นวาย!”
ผู้เฒ่าหลานขมวดคิ้ว
“คุณหนูท่านเจอองครักษ์แสงกระจ่างจากเขตกลางหรือ? ถ้าอย่างนั้น พวกมันจะต้องจำคุณหนูได้และไม่กล้าทำอะไรสินะ?”
ถ้าหากองครักษ์แสงกระจ่างจำกงซุนหวูซื่อได้จริงพวกเขาก็คงจะหนีไปแล้ว เพราะกงซุนหวูซื่อไม่ใช่คนที่สังหารได้ง่าย ๆ และนางยังมีสมบัติที่สามารถอัญเชิญร่างเงาของจ้าวผาบั่นภูติได้อีก อสูรเนรมิตรทุกคนที่รู้จักนางย่อมไม่กล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย
กงซุนหวูซื่อส่ายหน้าและยิ้ม
“ไม่หรอกพวกมันจำข้าไม่ได้”
“โอ้?แปลกแล้ว! องครักษ์แสงกระจ่างจากเขตกลางไม่ใช่พวกมีเมตตา พวกมันชั่วช้ามาก ในจิวโจว พวกมันมีชื่อเสียงฉาวโฉ่โหดร้ายไม่ต่างจากจักรพรรดิโลหิต…ถ้าหากพวกมันจำท่านไม่ได้ แล้วมันจะปล่อยท่านมาได้ยังไง?”
ผู้เฒ่าหลานลูบเครา
กงซุนหวูซื่อดีใจมากที่นางได้รู้ความลับของซือหยูแต่เพียงผู้เดียว
“ใครจะไปรู้ล่ะ?บางทีพวกมันอาจจะทำเรื่องอื่นอยู่เลยไม่สนใจข้าก็ได้”
ผู้เฒ่าหลานครุ่นคิดไปครู่หนึ่งและแม้ว่าจะยังสงสัย เขาก็ทำได้แค่เชื่อตามที่นางบอก
“พวกองครักษ์แสงกระจ่างใช้ท่าลับของพวกมันไปนั่นคือค่ายกลดับสวรรค์”
“พวกมันน่าจะปิดพื้นที่เพื่อจับคนหรือสัตว์อสูรบางอย่างอยู่มันอาจจะยุ่งกับเรื่องอื่นจนไม่สนใจท่านก็ได้”
เขาพูดต่อ
“เอาล่ะตามข้าไปพบท่านจ้าวผา ท่านจ้าวผาต้องเป็นห่วงอยู่แน่”
“แล้วก็ท่านใช้เวลาที่ตำหนักโลหิตมาเกินพอแล้วถึงเวลาทำตามคำสัญญาของท่านแล้ว”