the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 385 กองร้อยเจียนเตาไร้เทียมทาน
เมื่อป้อมปราการ 178 ตั้งใจเปิดสงครามกับสมาคมตระกูลจง
ทั้ง
ป้อมปราการก็พลันวุ่นวาย
สมาคมส่วนใหญ่จะส่งกองกำลังไปตามป้อมปราการต่างๆ
เพื่อสามารถควบคุมแต่ละป้อมปราการได้อย่างเบ็ดเสร็จ อย่าง
เช่นว่าในช่วงสันติ สมาคมตระกูลชิ่งส่งกองพลน้อยหนึ่งไป
ประจำการอยู่ที่ป้อมปราการหนึ่งก็พอแล้ว ส่วนกรมทหารอิสระก็
จะรับมือป้อมปราการที่ไม่แข็งแกร่งนัก
มีแค่ป้อมปราการ 111 ที่ชิ่งเจิ่นอยู่ที่มีทหารประจำการ
มากกว่าหนึ่งทัพแต่ป้อมปราการ 178 ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะนี้เป็นฐาน
เดียวของพวกเขา ดังนั้นปกติแล้วครึ่งหนึ่งของป้อมปราการคือ
ทหารรักษาการณ์ อีกอย่างชาวป้อมปราการ คนที่อยู่อาศัยข้างนอก
รวมไปถึงนิคมย่อยหลายแห่งในพื้นที่ก็รับใช้กองทัพเช่นกัน
ไม่เหมือนกับป้อมปราการอื่นตรงที่ว่าที่นี่ผู้อพยพกับชาว
ป้อมปราการ 178 ไม่แตกต่างอะไรกัน คนที่ทำงานอยู่นอกกำแพง
ถึงกับได้เบี้ยงเลี้ยงเพิ่มเติมสำหรับการอยู่ข้างนอกด้วยซ้ำ
ช่วงหน้าหนาว คนที่อาศัยอยู่ข้างนอกก็จะได้รับอนุญาตให้
เข้ามาในป้อมปราการได้ถ้ามีใบผ่านทาง แน่นอนว่าการอนุมัติใบ
ผ่านทางเหล่านี้เข้มงวดเป็นอย่างมาก
กำลังทหารของป้อมปราการ 178 มีถึงแปดหมื่นนาย และ
ล้วนเป็นกองกำลังชั้นหนึ่งด้วย ขณะเดียวกันสมาคมตระกูล
จงอ้างว่าตนเองมีทหารมากถึงสองแสนนาย
จำนวนทหารระหว่างสองฝั่งต่างกันเกินไป อาจเป็นเพราะ
ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดนี้ ทำให้ช่วงหลายปีมานี้สมาคม
ตระกูลจงเกิดความกล้าขึ้นมา
แต่เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตเห็นว่าเหล่าชายร่างกำยำแห่ง
ป้อมปราการ 178 ดูจะไม่ใยดีอะไรกับความต่างในกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายเลย
จากที่สูเสี่ยนฉู่ว่า จำนวนทหารไม่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญใน
การสงครามสมัยใหม่แล้ว ข่าวกรอง เทคโนโลยี ความกล้า และ
ประสบการณ์ของกองทัพต่างหากที่สำคัญ
ถึงสมาคมตระกูลจงจะมีจำนวนทหารมาก แต่ต่างเป็นทหาร
ใหม่ที่เพิ่งถูกเกณฑ์เข้ามาในกองทัพ ทั้งส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพด้วย
พอถูกส่งเข้ามาในสนามรบแล้ว ทหารใหม่พวกนี้คงทำอะไรไม่ถูก
เพราะขาดประสบการณ์
ความแตกต่างระหว่างทหารเก่าและทหารใหม่ก็เหมือน
ความแตกต่างระหว่างฟ้ากับดิน
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าจางจิ่งหลินไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น ในเมื่อ
เขาตั้งใจจะเริ่มสงครามแล้ว ก็คงมั่นใจว่าจะเอาชนะได้
ตอนนี้โจวอิงหลงพาเขามายังค่ายของกองร้อยเจียนเตา สมา
ชิกกองร้อยเจียนเตารอหน้าค่ายอยู่นานแล้ว ต่างกอดคอกันเอง
มองสำรวจเริ่นเสี่ยวซู่
เริ่นเสี่ยวซู่สวมเครื่องแบบของกองร้อยเจียนเตาที่สูเสี่ยนฉู่ให้
มา บนต้นแขนมีสัญลักษณ์ดาบปลายปืนที่เป็นสัญลักษณ์ของ
กองร้อยเจียนเตาโจวอิงหลงพูดเสียงค่อย “ที่ตะวันตกเฉียงเหนือนี่ค่อนข้าง
ต่างจากทางใต้ ถ้านี่เป็นทางใต้และผู้บัญชาการจางเป็นคนส่งนาย
เข้ากองร้อยเจียนเตาล่ะก็ ทุกคนคงตอบรับขับสู้อย่างสุภาพไปแล้ว
แต่ว่าที่ตะวันตกเฉียงเหนือ…พวกเราต่างอยากรู้ว่านายมีคุณสมบัติ
มากพอจะเข้าร่วมกับเราหรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่งง คืออะไรเนี่ย เขาแค่ต้องการแก้แค้นจึงถูกส่ง
มาอยู่หน่วยทหารที่อันตรายที่สุด แค่นั้นเลย! หรือว่าการเข้า
กองร้อยเจียนเตามันยากมากๆ เหรอ
โจวอิงหลงไม่ได้พูดต่อ แต่หันไปกล่าวกับทหารกองร้อยเจียน
เตาที่ล้อมพวกเขาอยู่ “มามุงทำไม ไม่ไปเก็บข้าวของตัวเองหา พวก
นายจะเป็นทหารชุดแรกที่ส่งออกไปสนามรบพรุ่งนี้เช้า ฉันให้เวลา
พวกนายครึ่งเดือนไปให้ถึงเขาติ้งย่วน”
“พวกโจรในเขาติ้งย่วนไม่นับว่าเป็นตัวอะไรได้ พอเราไปถึงก็
จัดการปราบพวกเขาราบคาบ” มีคนถาม “ผู้บัญชาการกองพัน
ข้างๆ ท่านคือเริ่นเสี่ยวซู่เหรอ”
“ใช่ เป็นเขานั่นแหละ” โจวอิงหลงว่า “จำไว้ว่าอย่าให้มากเกิน
”พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินโจวอิงหลงพูดว่า ‘อย่าให้มากเกิน’ ก็รู้สึก
ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว นี่คือกะจะสั่งสอนเขาหรืออะไร
อย่างไร ทำไมจู่ๆ ดูเหมือนว่าเขากลายเป็นดาราดังในป้อมปราการ
178 อย่างไรอย่างนั้น
แต่พอโจวอิงหลงพูดจบก็กลับหลังหันจากไปทันที
ไม่ให้โอกาสเริ่นเสี่ยวซู่ได้ถามอะไรสักนิด
สมาชิกราวๆ หนึ่งร้อยแปดสิบกว่าคนของกองร้อยเจียนเตา
ล้อมเริ่นเสี่ยวซู่ ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มทรงอันธพาลที่ถือมีดครัวอยู่ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่สับสน นี่แม่*ค่ายทหารจริงเปล่าเนี่ย ทำไมแม่*ยังกับ
กิจการขายธัชพืชที่โจรเปิดเลยฟะ!
แต่เริ่นเสี่ยวซู่มาที่นี่เพื่อล้างแค้นกำจัดพวกเขาให้หมด ที่เขา
ต้องการคือสู้กับพวกสมาคมตระกูลจงบนสนามรบ ไม่ใช่ต้องการ
มาผูกมิตรกับทหารกองร้อยเจียนเตาพวกนี้
เริ่นเสี่ยวซู่เลิกเสื้อเผยรอยแผลตรงท้องฝั่งขวาและว่า “คือ
พวกนายอยากรุมคนบาดเจ็บงั้นสิ”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ต้องประหลาดใจ เจ้าพวกอันธพาลที่อยู่หน้า
เขาแค่หัวเราะและว่า “ไม่ต้องห่วง พวกเราจะไม่ลงมือหนักเกิน”เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงัน พวกแม่*เห็นดีเห็นงามกับการรุมคนบาดเจ็บ
จริงดิ!
คนฉลาดไม่สู้เมื่อเป็นมวยรอง ทันทีที่เขาพูดเสร็จ เริ่นเสี่ยว
ซู่ก็หันหลังจรลีในพลัน ถ้าไม่ใช่การสู้รบขนาดฆ่าฟัน จะรับมือคน
เป็นร้อยมันหนักมือเกินไป อีกอย่างอาการบาดเจ็บภายในเขายัง
ไม่หายดีเลย!
อันธพาลแห่งกองร้อยเจียนเตาคำราม “จับเขา!”
ทุกครั้งที่ทหารใหม่เข้าร่วมกองร้อย พวกทหารเก่าก็จะจัดการ
สั่งสอน ถ้าอัดจนยอมไม่ได้แล้วหลังจากนั้นไม่ยอมทำตามคำสั่งขึ้น
มาคงแย่แน่ แน่ล่ะว่านี้คือแค่เหตุผลข้างๆ คูๆ ที่จริงคือเจ้าพวก
ทหารเก่าพวกนี้เบื่อและไม่มีอะไรทำต่างหาก…
ดังคำว่าไม่ต่อยตีไม่รู้จัก อย่างไรอยู่ในกองร้อยไปพักหนึ่งก็
ไม่ขุ่นแค้นเคืองใจกันแล้ว
แต่ว่าวันนี้กลับมีเรื่องประหลาด ทหารใหม่ที่มาหันหลังหนีไป
เสียฉิบ! แล้วเขาจะวิ่งไปไหนล่ะ กองพันทหารทัพหน้าใหญ่แค่นี้เอง
ถึงตอนกลางคืนก็ต้องกลับมานอนอยู่ดีไหม!
ปัญหาคือเริ่นเสี่ยวซู่วิ่งเร็วจัดจนทิ้งพวกเขาแบบไม่เห็นฝุ่น!คนกลุ่มใหญ่เฮโลกันตามเริ่นเสี่ยวซู่ พวกเขาเห็นเริ่นเสี่ยว
ซู่วิ่งเร็วไปตามค่ายพักทหารของอีกพื้นที่หนึ่ง และคนของกองร้อย
เจียนเตาก็โถมตามหลังมา
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปในค่ายพัก ก็เห็นคนสิบกว่านายกำลัง
เอาผ้าห่มตากแดด เขาพุ่งไปหาคนหนึ่งและต่อยคนผู้นั้นล้มลงกับ
พื้น “กองร้อยเจียนเตาไร้เทียมทาน!”
เหล่าชายร่างกำยำแห่งตะวันตกเฉียงเหนือที่กำลังตากผ้าห่ม
อยู่นิ่งงันกันไปหมด ทำตัวไปถูกไปอยู่หลายวินาที
หนึ่งในพวกเขากระฟัดกระเฟียด “ฝึกทหารรอบที่แล้ว
พวกเรายังไม่ได้ทวงหนี้กับกองร้อยเจียนเตาเลย ตอนนี้
แม่*จะมาบวกกับพวกเราอีกเหรอ!”
จากนั้นเขาก็ตะโกนเข้าไปในค่ายพัก “กองร้อยที่สอง ไสตูด
ออกมาโว้ย! มีคนมาหาเรื่อง!”
พอพวกอันธพาลแห่งกองร้อยเจียนเตาเข้าเขตที่พักนี้มาก็
เห็นของกองร้อยที่สองกรูออกมาจากค่ายพัก ผู้บังคับกองร้อยเจียน
เตาตะโกน “เหล่าหลี่หลบไป นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย…”
แต่ผู้บังคับบัญชาหลี่แห่งกองร้อยที่สองมองสหายที่ถูกต่อย
นอนกับพื้นและว่า “หลบไปแม่เอ็งสิ! พี่น้องโว้ย จัดการ!”ผู้บังคับกองร้อยเจียนเตาโมโหขึ้นมา “เห้ย ไอ้ขี้แพ้!”
เหล่าหลี่ได้ยินแบบนี้ก็หัวร้อนกว่าเดิมจนปล่อยหมัดออก
ทุกอย่างเกิดขึ้นในแค่ไม่กี่วินาที ไม่มีใครทันคิดอะไรทั้งนั้น
ถ้าพวกเรามีเวลาให้พิจารณาหน่อย คงไม่ลงเอยด้วยการเป็นเช่นนี้
โจวอิงหลงขมวดคิ้วมุ่น คอยมองมาจากไกลๆ นี่แม่*อะไรเนี่ย
! เริ่นเสี่ยวซู่มาวันแรกกองร้อยเจียนเตากับกองร้อยที่สองก็บวกกัน
มะรุมมะตุ้มแล้ว! คนสามร้อยกว่าต่อยตีกันเอง บางคนถึงกับ
ฉุดกระชากกันจนคอเสื้อฉีก!
คนในฐานทัพของป้อมปราการ 178 ต่อยตีกันเองนั้นเป็นเรื่อง
ธรรมดามาก สถานการณ์ส่วนใหญ่แล้วผู้บังคับบัญชาจะปล่อยให้
ทหารต่อยตีกันไปตามใจ เหล่าชายดิบเถื่อนในป้อมปราการคิดว่า
ต้องกระหายเลือดเสียหน่อยถึงจะเป็นทหารได้
แล้วอยู่ๆ มาต่อยตีกันได้ไงวะ?!
“ลางไม่ดีฉิบหาย” โจวอิงหลงว่า
เริ่นเสี่ยวซู่ที่ยืนอยู่ข้างเขารำพึง “ไม่ผิด”
โจวอิงหลงหันขวับ “มายืนอยู่ข้างฉันตอนไหนเนี่ย!”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดกลับ “เพิ่งมาเมื่อตะกี้”