World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 99
ภายในคุกใต้ดินที่มืดสนิท ฮุยเสวียยืนอยู่ตรงหน้าห้องขังในขณะที่จ้องมองมาที่ฮวาจูอวี้พร้อมกับความรู้สึกสงบบนใบหน้าของนาง โคมไฟอยู่ในมือของนางเปล่งแสงออมาเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ทำให้อะไรภายในห้องขังสว่างขึ้นเลย ไม่แม้แต่จะไปถึงใบหน้าของฮุยเสวีย แต่ฮุยเสวียก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักในเวลาที่พวกเขาแยกกัน นางยังคงแสดงออกถึงความเยือกเย็นของนางอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรูปลักษณ์ที่ซับซ้อนในสายตาของนางเมื่อนางจ้องมองมาที่ฮวาจูอวี้
“เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมเจ้าต้องแสร้งทำเป็นองค์หญิงโจวย่า?” ฮุยเสวียมองตรงไปที่ฮวาจูอวี้ในขณะที่ถามขึ้น
จู่ๆ ฮวาจูอวี้ก็ต้องประหลาดใจเมื่อถูกถามคำถามนี้ออกมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดจากคำถามนี้ว่าฮุยเสวีย รู้ว่านางไม่ใช่น้องสาวของเสี่ยวหยิน ซึ่งหมายความว่าเสี่ยวหยิน ก็อาจรู้ด้วยเช่นกัน นางไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินนางในวันนั้นหรือไม่ เมื่อนางบอกให้เขากลับไปถามแม่นมไป๋ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยิน
“ฮุยเสวีย ข้าจะเป็นใครก็ตามแต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร วันนั้นข้ามาถึงอาณาจักรเหนือเพื่อลี้ภัย ข้าไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี “ในขณะนี้นางยังคงซ่อนตัวตนของนางอยู่
“แล้วเช่นนั้นเจ้ารู้จักองค์หญิงโจวย่าได้อย่างไร? เจ้าถึงขนาดมีสร้อยคออยู่กับตัวเจ้า ตอนนี้องค์หญิงโจวย่าอยู่ที่ไหน? “ฮุยเสวียคิดว่าฮวาจูอวี้ เป็นคนรับใช้จากตระกูลฮวาที่ถูกส่งมาแทน นางคงจะไม่เคยสงสัยว่าฮวาจูอวี้จะเป็นคุณหนูของตระกูลฮวา และนางก็ไม่รู้ว่าฮวาจูอวี้ก็คืออิงซู่เซี่ย คนเดียวที่รู้มีเพียงเสี่ยวหยินเท่านั้น
เมื่อฮุยเสวีย ถามเกี่ยวกับองค์หญิงโจวย่า ฮวาจูอวี้ก็หยุดนิ่งลง
การตายของจินเซ่อ ทำให้เกิดเป็นแผลเป็นที่เจ็บปวดในหัวใจของนาง การพูดถึงเรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีคนเอามีดมาแทงหัวใจของนางและเปิดแผลออกอีกครั้ง
หลังจากความเงียบที่ยาวนาน ฮวาจูอวี้ก็ตอบขึ้น”นางล่วงลับไปแล้ว สร้อยคอนั้นเป็นสิ่งที่นางทิ้งไว้ให้ข้า “
ดวงตาของฮุยเสวีย เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและมือที่นางใช้ในการถือโคมไฟก็สั่นขึ้นเล็กน้อย นางรู้ว่าสร้อยคอที่สำคัญดังกล่าวจะไม่ถูกถอดออกอย่างง่ายดาย เว้นเสียแต่ว่า …
“มันยากที่จะอธิบายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ฮุยเสวียมันเกิดอะไรขึ้นกับฮ่องเต้ของเจ้า? ทำไมเขาถึงได้บุกรุกอาณาจักรใต้? ทำไมผมของเขาถึงเป็นสีม่วง? “ฮวาจูอวี้ถามด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
ใบหน้าของฮุยเสวีย เริ่มดำมืดลง และนางก็ปฏิเสธที่จะตอบ ตรงกันข้ามนางเงยหน้าขึ้นและจ้องเขม็งไปที่ฮวาจูอวี้ ก่อนที่จะปลดล็อกประตูและพูดขึ้น “ฮ่องเต้ต้องการจะเจ้า ตามข้ามา!”
ฮุยเสวียจับโคมไฟและเดินนำทาง ข้อเท็จจริงที่ว่านางไม่ได้ตอบคำถามของนาง ทำให้ฮวาจูอวี้ยิ่งรู้สึกสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวหยิน ที่ทำให้ฮุยเสวีย มองนางด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมากเช่นนั้น นางคิดว่าฮุยเสวีย จะมาบอกอะไรบางอย่างกับนาง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
ฮวาจูอวี้ รู้ว่าเสี่ยวหยิน จะต้องเรียกหานาง สิ่งที่เหวินว่านได้กระซิบกับเขาในสนามรบคงจะน่าสนใจมากพอที่ทำให้เขาจับตัวนางกลับมา เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาลืมเรื่องเกี่ยวกับนางไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทำไมเขาถึงต้องมาสนใจกับทหารตัวเล็กๆ อย่างนางด้วย?
ขณะที่ฮวาจูอวี้ ลังเล ฮุยเสวียก็พูดขึ้น “รีบไปกันเถอะ ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีที่สุดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถ้าเจ้าไปช้า เจ้าก็จะต้องพบกับความทุกข์ทรมานเท่านั้น”
ฮวาจูอวี้ตามฮุยเสวีย ออกจากคุกใต้ดินไป ในขณะที่หลิวเฟิง กำลังรออยู่ข้างนอกและเดินนำหน้าพวกนางไปยังสถานที่ของเสี่ยวหยิน ตามเส้นทางเดิน
“ฝ่าบาท ผู้ใต้บังคับบัญชาได้พานักโทษมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเฟิง ประกาศขึ้นเมื่อเขาเข้าไปด้านใน
ฮวาจูอวี้ก็เดินตามเขาเข้าไป
เมื่อพวกเขาแยกทางกันครั้งสุดท้าย พวกเขาต่างก็ลังเลใจ เมื่อได้พบกันอีกครั้ง พวกเขาก็กลายเป็นคนแปลกหน้า ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทะเลสีฟ้าได้กลายเป็นทุ่งของต้นหม่อน (มีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่) เขายังเป็นเขาอยู่ นางก็ยังเป็นนาง แต่เมื่อสายตาของพวกเขาได้พบกัน นางก็ไม่ใช่นางเป็นอีกต่อไปในสายตาของเขาและเขาก็ไม่ใช่เขาในสายตาของนางอีกต่อไป
ตั้งอยู่บนพรมหนาคือโต๊ะไม้มะเกลือ ที่มีเตาเผาขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านบนในขณะที่ธูปหอมถูกจุดขึ้นและกำลังเผาไหม้พร้อมกับส่งกลิ่นอ่อนๆ ไปทั่วห้อง
ด้านหนึ่งของห้องเหวินว่านกำลังนั่งเล่นพิณอยู่ ในขณะที่มีจำนวนของผู้หญิงที่งดงามกำลังเต้นรำไปพร้อมกับบทเพลงบนพรมแดง การเคลื่อนไหวของพวกนางงดงามและเย้ายวนใจ แต่สายตาของพวกนางไม่เข้ากับการเต้นของพวกนางแม้แต่น้อย ในขณะที่มันยึดติดอยู่กับร่างกายของเสี่ยวหยินที่กำลังส่องสว่างเหมือนน้ำพุร้อนในฤดูใบไม้ผลิ
เสี่ยวหยิน เฝ้าดูการเต้นด้วยมือที่ท้าวใต้คางของเขา ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยใส่ใจแม้จะเพิ่งพ่ายแพ้ในสงครามที่ทำให้เขาต้องถอยทัพกลับมาอยู่ที่นี่ ในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ที่นั่น พิงหมอนดูผ่อนคลายและสบายใจ
ผมสีม่วงของเขาถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง ส่องประกายภายใต้แสงเทียนภายในห้อง บวกกับดวงตาสีม่วงเข้มของเขา ทำให้ร่างกายของเขามีเสน่ห์น่าหลงใหลและประทับใจมากกว่าที่เขาเคยมีมากในอดีต แต่เขากลับยิ่งดูเย็นชาลงไปมากกว่าเดิม
เมื่อได้เห็นฮวาจูอวี้ เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาที่ดำมืดซึ่งไม่สามารถอ่านได้กำลังเปล่งประกายขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมเจ้าถึงมาช้านัก?” เขาถามขึ้นอย่างเย็นชา
“รายงานต่อฝ่าบาท เนื่องจากนักโทษผู้นี้ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาอยู่เล็กน้อยเพคะ” ฮุยเสวียตอบหลังจากที่นางก้าวไปข้างหน้าและทำความเคารพแล้ว
เสี่ยวหยิน ส่งเสียงเย็นขึ้นแล้วโบกมือให้ฮวาจูอวี้ก่อนจะพูดขึ้น”มานี่”
ฮวาจูอวี้ไขว่มือของนางไว้ข้างหลังของนางและค่อยๆตรงเข้าไป ก่อนจะหยุดเมื่อนางอยู่ห่างจากเขาประมาณ 5 ก้าว ในระยะใกล้ๆ เช่นนี้นางรู้สึกว่าผมสีม่วงของเขาเข้ากับใบหน้าของเขาได้เป็นอย่างดี มันเยือกเย็น แต่ก็งดงามอย่างไม่อาจจะอธิบายได้
นางมองเขาและพยายามจะพูดอย่างสงบขึ้น “ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดถึงต้องให้นายทหารชั้นต่ำเช่นกระหม่อมมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ?”
เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของนางอย่างไม่แยแสและตอบขึ้น “ทหารชั้นต่ำที่มีทักษะการต่อสู้ในระดับสูงเช่นนี้เป็นธรรมดาที่จะเป็นที่สนใจต่อฮ่องเต้ผู้นี้ นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่าจี่เฟิงหลี่ให้ความสำคัญกับเจ้าเป็นอย่างยิ่ง มันทำให้ฮ่องเต้ผู้นี้สงสัยว่าขอบเขตของมันอยู่ตรงไหน “
จี่เฟิงหลี่ให้ความสำคัญกับนางมากอย่างนั้นหรือ? บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เขาได้ยินจากเหวินว่านก็ได้
“ฝ่าบาททรงเชื่อเช่นนั้นหรือ? กระหม่อมเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ เท่านั้น”ฮวาจูอวี้พูดขึ้น เสี่ยวหยินมองนางด้วยสายตาอันเย็นชา เขาจำนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“มันก็จริง” เขาพูดขึ้นเบา ๆ ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาได้ตรวจสอบนางเป็นเวลานาน ก่อนที่หัวคิ้วของเขาจะขมวดขึ้นเล็กน้อย และเนื่องจากความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงถามขึ้น “เจ้าชื่ออะไร?”
“ฝ่าบาท!” เหวินว่านเรียกขึ้นทันที นางหยุดเล่นและเดินไปนั่งข้างๆ เสี่ยวหยิน อย่างสง่างาม นางเทเหล้าองุ่นและมอบให้กับเขาก่อนจะพูดขึ้น “อีกถ้วยไหมเพคะ”
เสี่ยวหยิน ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้นักเต้นหยุดลง จากนั้นเขาก็หันไปหาเหวินว่านพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใส ก่อนจะพูดขึ้น “ว่านเอ้อร์ ทำไมถึงได้หยุด? ฮ่องเต้ชอบที่จะฟังเจ้าเล่น “
เหวินว่านยิ้มและตอบขึ้น “ตราบเท่าที่ฝ่าบาทประสงค์จะฟังว่านเอ้อร์ก็จะเล่นต่อไปเพคะ” จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและเดินไปหาพิณของนาง เมื่อนางเดินผ่านฮวาจูอวี้ นางก็หยุดลงชั่วคราวและเหลือบไปที่ฮวาจูอวี้พร้อมกับดวงตาที่งดงามของนางที่กระพริบรอยยิ้มที่มีความหมายบางอย่างขึ้น
ฮวาจูอวี้ รู้ว่าเหวินว่าน เกลียดนาง
ในวันที่เสี่ยวหยินพาเหวินว่าน จากไปเขาบอกว่าเพื่อปกป้องนาง แม้ว่าเหวินว่านจะหมดสติไปในเวลานั้นและไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้ คนที่มีความหยิ่งเช่นเหวินว่าน รู้ว่านางถูกนำตัวไปยังอาณาจักรเหนือเพื่อความปลอดภัยของขันทีตัวเล็กๆ คนหนึ่ง นางจะเงียบอยู่ได้อย่างไร?
ฮวาจูอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น ความสัมพันธ์ระหว่างนางและเหวินว่าน นั้นซับซ้อนเกินไป
เหวินว่านกลับไปนั่งและเริ่มเล่นอีกครั้ง นางกำลังเล่นซาโปลาง บนราวเหลียงของเสี่ยวหยิน ที่ฮวาจูอวี้ เคยเล่นมาก่อน
ฮวาจูอวี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเหวินว่าน ถึงได้เลือกเล่นเพลงนี้ มันเป็นเพลงโปรดของเสี่ยวหยินหรือ?
บางทีอาจจะเป็นเพลงที่เสี่ยวหยินสอนนางด้วยตัวเองก็ได้
ฮวาจูอวี้ได้เล่นบทเพลงนี้ในสนามรบ หลังจากที่เสี่ยวหยิน เข้าใจผิดว่านางเป็นน้องสาวของเขา เขาก็บอกให้นางเล่นเพลงนี้อีกสองสามครั้ง ตอนแรกนางคิดว่าเขาไม่เข้าใจในดนตรี แต่ดูเหมือนว่าเขาได้ส่งบทเพลงนี้ไปยังหน่วยความจำของเขาและยังได้สอนมันให้กับเหวินว่านอีกด้วย
ฮวาจูอวี้ยืนอยู่เงียบ ๆ ภายในห้องและใคร่ครวญ
“ฝ่าบาท กระหม่อมต้องการจะพูดคำที่เป็นส่วนตัวสักสองสามคำ กระหม่อมหวังว่าฝ่าบาทจะทรงสั่งให้คนอื่นออกไปก่อน “จุดประสงค์ของนางในการมาที่นี่คือการพูดคุยกับเสี่ยวหยิน ไม่ใช่การมาฟังเพลง แต่ทันทีที่นางพูดจบ การเล่นของเหวินว่านก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและหลังจากนั้นเมื่อเล่นไปได้ไม่กี่ท่อน เหวินว่านก็ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดและจับมือของนางเอาไว้ ก่อนจะมีเลือดไหลออกจากนิ้วชี้ขวาของนาง นางขมวดคิ้วราวกับว่านางกำลังมีอาการเจ็บปวดมาก
หัวคิ้วของเสี่ยวหยินขมวดขึ้นและเขาก็รีบเดินไปทางเหวินว่านทันที ก่อนจะจับมือของนางและตรวจดูอาการบาดเจ็บ จากนั้นก็เอนตัวลงและจับนิ้วของนางเข้ามาในปากของเขา ก่อนจะดูดเลือดออกไป
ฮวาจูอวี้ถึงกับแข็งค้างไป นางไม่คิดว่าเสี่ยวหยิน จะมีความอ่อนโยนอยู่ในตัวเขาของเขาด้วย
เมื่อครั้งแรกที่เขามาถึงอาณาจักรใต้เพื่อเป็นพันธมิตร เขาก็ตกหลุมรักทันทีที่เห็นภาพของเหวินว่าน บางทีนั่นอาจจะเป็นความรักที่แท้จริงและความรู้สึกที่เขามีต่อนางก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความรักในครอบครัว
ความรักเป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจ แม้กระทั่งตัวนางเองก็ไม่รู้ว่านางมีความรู้สึกแบบไหนต่อเขา
ดูฉากที่ใกล้ชิดนี้ที่อยู่ตรงหน้าของนาง หัวใจของนางก็รู้สึกว่ามันเจ็บปวดขึ้นเล็กน้อย บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ดีที่เสี่ยวหยินและเหวินว่านอยู่ด้วยกัน พวกเขาเหมาะสมกับเป็นอย่างมาก ถ้าเสี่ยวหยินยินยอมที่จะถอนกองกำลังของเขากลับไปและหยุดสงครามทุกอย่างก็จะจบลงด้วยดี
ฮวาจูอวี้จมอยู่ในความคิดเหล่านี้ เมื่อแสงสีม่วงกระพริบอยู่ตรงหน้าของนางและเสียงของแขนยาว ๆ ที่กำลังส่งกำปั้นที่แข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยไอสังหารตรงเข้ามาที่ใบหน้าของนาง ร่างกายของนางก็ก้าวหลบไปโดยธรรมชาติทันที
“ฝ่าบาท พระองค์กำลังทำอะไรเพคะ พระองค์ไม่สามารถตำหนิเขาได้ นี่เป็นความผิดของหม่อมฉันที่เล่นได้ไม่ดี? อย่าฆ่าเขานะเพคะ! “เหวินว่าน รีบวิ่งไปข้างหน้าและจับเสี่ยวหยินเอาไว้
ดวงตาของเสี่ยวหยินหรี่ลง จากนั้นเขาก็ลดกลิ่นไอสังหารของเขาลง ก่อนจะตอบขึ้นรอยยิ้ม “ใครบอกว่าข้าอยากจะฆ่าเขา? ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าควรกลับไปก่อน พวกเจ้าทุกคนด้วย “
ทหารและนักเต้นทุกคนต่างก็ถอยออกไป เหวินว่านทำความเคารพต่อเสี่ยวหยิน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทอย่าทรงโกรธนะเพคะ มันจะส่งผลต่อสุขภาพของท่าน “จากนั้นนางก็หันกลับไปและเหลือบไปมองที่ฮวาจูอวี้ก่อนที่จะจากไป
ฮวาจูอวี้ยังคงหงุดหงิดเล็กน้อย นางไม่คิดว่าจู่ๆ เสี่ยวหยินก็จะโจมตีมาที่นางอย่างฉับพลันเช่นนั้น เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีที่สุดอย่างที่ฮุยเสวียพูดเอาไว้จริงๆ ด้วย ฮวาจูอวี้ พูดเพียงไม่กี่คำก็ส่งผลต่อการเล่นของ เหวินว่าน และมันก็ทำให้เขาโกรธมากถึงระดับนี้
เพียงครู่เดียว ก็เหลือเพียงแค่พวกเขาอยู่ในห้อง
“สิ่งที่เจ้าต้องการจะพูดก็พูดออกมาอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ผู้นี้ไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระของเจ้า ถ้าเจ้าพูดอย่างชาญฉลาดฮ่องเต้ผู้นี้ก็จะไว้ชีวิตเล็ก ๆ ของเจ้า ถ้าพูดอย่างหยาบคายฮ่องเต้ผู้นี้ก็จะฆ่าเจ้า! “เขาเดินไปที่โต๊ะและนั่งลงบนเบาะนั่ง
ฮวาจูอวี้ดึงสร้อยคอที่อยู่ที่คอของนางออก นางรู้ว่าเสี่ยวหยินจำนางไม่ได้แล้วถ้านางไม่มีสร้อยคอนี้นางก็คงไม่กล้าที่จะมาที่นี่
นางเดินสองก้าวไปข้างหน้าและวางสร้อยคอไว้บนโต๊ะก่อนจะพูดขึ้น “ฝ่าบาท ทรงยังจำสร้อยคอเส้นนี้ได้หรือไม่?”
เมื่อจ้องมองไปที่สร้อยคอแล้ว ดวงตาของเขาก็หรี่ลงทันที เขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกในขณะที่เขาจับสร้อยคอและถามขึ้น”ทำไมเจ้าถึงมีมัน? เจ้าเป็นใคร?”
ดูเหมือนเสี่ยวหยินจะไม่ได้ลืมเรื่องสร้อยคอนี้ไป เห็นได้ชัดเขาไม่ได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ฮวาจูอวี้ยิ้มละห้อย นางไม่ได้คาดหวังว่านางจะต้องพึ่งสร้อยคอของจินเซ่อ เพื่อช่วยชีวิตของนางอีกครั้ง
“สร้อยคอนี้เป็นของเพื่อนสนิทของกระหม่อม นางให้กระหม่อมมาและบอกว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ทิ้งไว้โดยครอบครัวของนางและขอให้กระหม่อมช่วยตามหาครอบครัวของนางแทนนางด้วย “
“แล้วนางอยู่ที่ไหน?” เขาจับสร้อยคอ ในขณะที่เขาเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของฮวาจูอวี้ ในสายตาที่จ้องไปที่นางมีทั้งความสุขและความคาดหวัง
“นางล่วงลับไปแล้ว” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นด้วยความยากลำบาก การพูดคำดังกล่าวดังๆ ทำให้หัวใจนางเจ็บปวด นางรู้ว่าเสี่ยวหยิน เองก็จะเสียใจเช่นกัน แต่นางก็ต้องบอกเขาในที่สุด
“เจ้าเพิ่งจะพูดว่าอย่างไร?” เสี่ยวหยิน ถามด้วยเสียงสูงขึ้น “เจ้ากล้าที่จะบอกว่านางตายแล้วหรือ?”
“นางจากไปแล้ว เพื่อที่จะช่วยกระหม่อม นางเสี่ยงชีวิตและตอนนี้นางก็หายไปแล้ว “ฮวาจูอวี้ตอบขึ้น
ภาพของคืนที่เต็มไปด้วยหิมะที่เปื้อนไปด้วยเลือด ฝังอยู่ตลอดเวลาในความทรงจำของนาง
ดวงตาของเขาวูบวาบขึ้นด้วยความกระหายเลือดและมือของเขาก็ยื่นออกไปคว้าคอของนางเอาไว้
ฮวาจูอวี้ ไม่ได้ขยับ นางรู้ว่าวันดังกล่าวในที่สุดก็จะมาถึง นางเป็นหนี้ชีวิตของจินเซ่อ ดังนั้นถ้าเสี่ยวหยิน ต้องการที่จะเอาชีวิตของนาง นางก็จะไม่ต่อสู้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลานั้น และนางก็ยังมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องทำ
นิ้วของเสี่ยวหยินรัดคอนางมากขึ้น ฮวาจูอวี้ยกหัวของนางและจ้องเขม็งไปที่เขาเงียบๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความยากลำบาก “รอก่อน ในวันข้างหน้าพระองค์ค่อยฆ่ากระหม่อม “นางยังคงมีหลายสิ่งที่ยังรอให้ไปจัดการ นางยังไม่ได้แก้แค้นให้จินเซ่อด้วยซ้ำ
เสี่ยวหยินจ้องมองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาผ่านสายตาที่หรี่ลงของเขา มองเข้าไปในดวงตาที่ดื้อรั้นและดื้อดึงของคนคนนั้น เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่สุดในหัวใจของเขา
จู่ ๆ เขาก็ปล่อยฮวาจูอวี้และก้าวถอยหลังลงไปที่เก้าอี้ของเขา ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขาจ้องมองไปที่สร้อยคอและค่อยๆลูบไล้มันด้วยมือที่ตัวสั่นและไม่ได้พูดอยู่เป็นนาน
ห้องเต็มไปด้วยเงียบเป็นอย่างมาก
ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ ถ้านางเสี่ยงชีวิตของนางเพื่อช่วยเจ้า ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า พูด อะไรคือจุดประสงค์ของเจ้าในการมาที่นี่? ข้ารู้ว่าถ้าเจ้าต่อสู้อย่างจริงจัง ข้าก็คงจะไม่สามารถจับกุมตัวเจ้าในวันนั้น “
ฮวาจูอวี้ยังอยู่ตรงกลางห้องด้วยความเงียบ นางเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะถามออกไป “กระหม่อมเพียงแค่อยากจะถามฝ่าบาท ทำไมพระองค์ต้องการที่จะก่อสงครามในครั้งนี้? ทำเช่นนี้ท่านไม่รู้สึกเสียใจแทนประชาชนทั่วไปหรือ? ”
เสี่ยวหยินหัวเราะเยาะขึ้น “รู้สึกเสียใจแทนประชาชนทั่วไปหรือ? เป็นเพราะฮ่องเต้ผู้นี้ต้องการให้ประชาชนมีอนาคตที่มั่นคง ข้าจึงต้องการรวมแผ่นดินนี้เข้าด้วยกัน เจ้าไม่เห็นหรือ? ถ้าแผ่นดินนี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วโลกจะมั่นคงและสงบสุขขึ้นแค่ไหน? ”
“ใช่ ความคิดของพระองค์อาจจะถูกต้อง แต่โลกตอนนี้สงบดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสงคราม” การรวมกันของโลกเป็นผลมาจากความสับสนอลหม่านและสงคราม อย่างไรก็ตามสภาพทางการเมืองในปัจจุบันค่อนข้างคงที่ ไม่จำเป็นต้องมีการรวมกลุ่มแบบบังคับของเสี่ยวหยิน “ตอนนี้ประชาชนต้องการมีชีวิตที่เงียบสงบ &