Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1844
เมื่อแก่นแท้วารีของหวังหลินสมบูรณ์ ร่างเงาปรากฏขึ้นใกล้ตัวเขาหลายร่าง แสงสีเขียวแผ่กระจายตามกันออกไป
หวังหลินสัมผัสถึงร่างเงาที่ปรากฏขึ้นได้นานแล้ว เขามีท่าทีสงบนิ่ง แขนขวาคว้าจับทะเลเบื้องบน โลหิตสีดำทั้งหมดในทะเลรวมกันในพริบตาและก่อเกิดเป็นหยดของเหลวสีดำ
มันคือหยดหมื่นหลอม!
ร่างเงาปรากฏขึ้นทีละร่าง ตามมาด้วยกลิ่นอายทรงพลังของแต่ละคน ขณะที่ทั้งหมดพุ่งมาหาหวังหลิน หวังหลินจึงบีบหยดสีดำอย่างรุนแรง
“น้ำสามารถแยกกลิ่นอาย หยุดยั้งเปลวเพลิง สกัดพลังชีวิต เปลี่ยนโลกเป็นไร้สีสัน…” หวังหลินพึมพำและบีบหยดของเหลวสีดำในมือจนกระทั่งมันแตกสลาย สายน้ำคล้ายน้ำหมึกจำนวนมากกระจายออกไปโดยมีหวังหลินเป็นจุดศูนย์กลาง
ร่างนับพันที่เข้ามาใกล้หวังหลินจึงถูกหยดสีดำเบื้องหน้าเข้ากักขังและไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้
เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้องขึ้นในทะเลโอสถ เหล่าเซียนชุดเขียวทั้งหมดที่ถูกน้ำสีดำเข้าแตะต้องถึงกับร่างกายเน่าเปื่อย วิญญาณสูญสลายอย่างรวดเร็ว
บางส่วนหายใจไม่ออก ดวงตาเบิกกว้างและตายทันที สายน้ำไม่เพียงแต่ตัดอากาศหายใจแต่ยังสามารถตัดพลังปราณสวรรค์และเผาไหม้เพลิงแห่งชีวิตไปด้วย
บางคนถึงกับมีโลหิตไหลออกจากรูขุมขนทั่วร่าง จากนั้นก็โดนสายน้ำบดขยี้ร่างกายและวิญญาณดั้งเดิม
หลายคนตัวสั่นสะท้าน ร่างกายเหี่ยวแห้งจนเหลือแต่โครงกระดูก วิญญาณดั้งเดิมอ่อนแอจนแทบถึงจุดแตกดับ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อหวังหลินสร้างผนึก เขาก้าวเดินผ่านซากศพด้วยความสงบนิ่ง หยดสีดำจากร่างศพได้เข้ามาผสานกับโลหิตในร่างหวังหลิน
หลังจากเดินไปเจ็ดก้าว หวังหลินหันกลับมามองออกไปไกล ทิศทางนั้นคือตำแหน่งของธงสามผืนที่มีเซียนสตรีอยู่!
นางสั่นสะท้าน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จุดสีเขียวทั้งหมดรอบตัวหวังหลินได้มอดดับไปหมด น้ำสีดำกว่าครึ่งทะเลโอสถก็หายไปด้วย เหลือทิ้งไว้แต่เพียงจุดสีขาวที่กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ และหายตัวไป
‘เขาเป็นใคร?! ทำไมไม่แสดงตัวออกมาตอนที่เราสำรวจเซียนทรงพลังที่นี่!?’ นางขบคิดและกัดฟันแน่น
“ทหารมารเขียวทุกนายในทะเลโอสถจงฟังคำสั่งข้า ไล่ล่ามันและอย่าปล่อยให้หนีไปได้ มันเอาหยดหมื่นหลอมของข้าไป พวกเจ้าต้องสังหารมันและนำกลับคืนมา!” นางเอ่ยขึ้นก่อนจะกระอักโลหิต โลหิตเข้าผสานกับคำพูดนางและเปลี่ยนกลายเป็นควันเข้าไปในเข็มทิศ
เมื่อโลหิตหายไป เหล่าเซียนชุดเขียวทั้งหมดรอบกายนางจึงเดินหน้า
ขณะเดียวกันเหล่าเซียนแคว้นมารเขียวทั้งหมดถึงกับตัวสั่นทันทีที่ได้ยินเสียงของนางในใจ
ที่นางสามารถกระจายเสียงไปได้ไกลขนาดนั้นไม่ใช่ด้วยระดับบ่มเพาะแต่เป็นการเปล่งเสียงผ่านเข็มทิศ เข็มทิศนี้ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป มันอยู่ใจกลางเขตอาคมที่ห่อหุ้มรอบทะเลโอสถ
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งและทะยานผ่านทะเลโอสถไป จังหวะไม่ได้เร็วนักแต่ทุกก้าวข้ามผ่านระยะทางอันห่างไกลและเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
‘คนพวกนี้เป็นคนผนึกทะเลโอสถ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไม…แต่ในเมื่อยอมให้เข้าไปได้และออกไปไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ข่าวรั่วไหล…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลางยกแขนขวาขึ้นมา ปรากฏคนร่างเล็กขึ้นในมือ
เจ้าตัวน้อยนี้คือวิญญาณหวังหลินที่สร้างขึ้นผ่านวิชาเต๋าเนตรวิญญาณ สายตาหวังหลินจับจ้องไปที่ดวงตาของมัน เจ้าตัวน้อยสั่นเทาและโขกคำนับหาหวังหลิน
ศีรษะของเจ้าตัวน้อยสัมผัสกับฝ่ามือหวังหลิน เสียงดังกึกก้องขึ้นในจิตใจ ขณะที่กำลังพยากรณ์อนาคต มันกลับถูกพลังสายหนึ่งเข้าขัดขวาง
ดวงตาหรี่แคบและมีสีหน้าดุดันขึ้นทันที
‘มีคนกำลังแทรกแซง…ไม่ใช่ต่อกรกับข้าแต่เป็นวิชาพยากรณ์ทั้งหมดที่นี่…’ หวังหลินพลิกฝ่ามือ เจ้าตัวเล็กหายกลับไปข้างใน
‘ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นี่…’ หวังหลินขบคิดพลางก้าวเท้าและเกิดระลอกคลื่น เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยวิชาบิดมิติ
หลังจากหวังหลินจากไปไม่ถึงสิบลมหายใจ ร่างเกือบพันคนปรากฏขึ้นที่นี่และสวมชุดคลุมสีเขียวทั้งหมด หลังจากมองไปรอบๆ เล็กน้อยจึงหายตัวไปอีกครั้ง
ส่วนหวังหลินนั้นพอไปใกล้แคว้นกระทิงสวรรค์จึงก้าวออกมาจากระลอกคลื่นและขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ออกไปจากทะเลแต่มองขึ้นไป สายตามองทะลุทะเลและเห็นท้องฟ้าสีดำด้านบน
‘เขตอาคมที่นี่ทำให้บิดมิติเดินทางได้แค่ภายในทะเลโอสถเท่านั้นและออกไปไม่ได้…เขตอาคมช่างแปลกประหลาด…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เขาไม่ได้กลัวเขตอาคมแต่ยิ่งเจอมันมากแค่ไหนก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อแก่นแท้เขตอาคมมากเท่านั้น
หากเขาดูดซับและหลอมเขตอาคมโบราณอันทรงพลังได้ แก่นแท้เขตอาคมของหวังหลินก็จะเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล
“เขตอาคมที่นี่สามารถถูกหลอมและดูดซับเข้าไปในแก่นแท้เขตอาคมของข้าได้…” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง ตอนที่เขาอยู่ในตำหนักสลักวิญญาณ เขารู้สึกว่าการหลอมเขตอาคมที่ตำหนักคงไม่ดีต่อผู้อาวุโสที่เป็นคนสร้างเท่าใดนัก อีกทั้งเขตอาคมพวกนั้นก็ไม่ได้ลึกลับ พวกมันแค่มีเจตจำนงของเซียนทรงพลัง
หวังหลินขบคิดพลางสะบัดแขนขวา เปลวเพลิงหลายสิบสายเริ่มเผาไหม้ทะเลไปทางขวาของหวังหลิน
เมื่อเปลวเพลิงปรากฏ เสียงกรีดร้องดังระงมและมีเหล่าเซียนชุดเขียวมากกว่าสิบคนปรากฏตัวขึ้นมา ร่างแต่ละคนถูกเผาไหม้จากเพลิงสีดำ เพลิงนี้คือเพลิงไร้ลักษณ์ที่ถูกจุดขึ้นจากจิตสังหาร!
หวังหลินไม่ค่อยใช้เพลิงไร้ลักษณ์มากนักและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้บนแผ่นดินเซียนดารา! กระนั้นมันก็ยังทรงพลังอย่างไม่คาดคิด เหล่าเซียนมากกว่าสิบคนที่โดนไปยังไม่ได้บรรลุขั้นที่สาม พวกเขาเป็นเพียงแค่หน่วยสอดแนมเพื่อออกมาค้นหาหวังหลิน จึงไม่มีโอกาสต่อต้านได้เลย
หวังหลินกำลังจะพุ่งทะยานออกไปจากน้ำเพื่อตรวจสอบเขตอาคมที่ปกคลุมทะเลโอสถ ทว่าสีหน้าพลันเปลี่ยนไปและหันไปมองอีกทาง
‘สามคนนั้น…อยู่ที่นี่จริงๆ’ หวังหลินเผยรอยยิ้มพลางเปลี่ยนทิศทางและก้าวเท้าออกไป
เสียงดังสนั่นออกมาจากส่วนลึกในทะเล พยัคฆ์ขาวกระอักโลหิตพร้อมกับนำร่างอีกสองคนหนีด้วยความเร็วเต็มที่ เซียนแซ่เฉียนเลียริมฝีปากและเผยท่าทีอำมหิต
“ร่างกายเจ้าค่อนข้างแข็งแกร่ง นำไปหลอมเป็นหุ่นเชิดอาจเป็นตัวเลือกที่ดี”
“พวกเจ้าสามคนมีระดับบ่มเพาะชั้นดี จากการสำรวจของสำนักข้า พวกเจ้าเพิ่งจะเคลื่อนย้ายมาที่นี่ไม่กี่สิบปีก่อนและกลายเป็นคนไร้สำนัก มาร่วมกับสำนักหวู่จวี่เอาไหม?” ชายหนุ่มใบหน้าดุจหยกสีขาวพลันยิ้มออกมา
พยัคฆ์ขาวหน้าซีดเผือด เขาหนีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่พูดอะไร ส่วนเต่าดำและวิหคศักดิ์สิทธิ์กำลังหายใจรวยริน กระนั้นไม่ว่าเขาจะหนีได้เร็วแค่ไหนก็ไม่สามารถสร้างระยะห่างจากเซียนสองคนที่กำลังไล่ตามได้
“พยัคฆ์ขาว พวกเจ้าสามคนไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง ทำไมผลการสำรวจพวกเจ้าสามคนถึงว่างเปล่าไปนานก่อนที่จะมาถึงทะเลโอสถ…” ชายหนุ่มใบหน้าดุจหยดพลางชี้ออกไปด้วยพัดในมือ
ควันสีเขียวสายหนึ่งปรากฏออกมาจากพัดและเปลี่ยนกลายเป็นเทพเกราะทองถือกระบี่ เขาก้าวไปข้างหน้าและฟันลงใส่พยัคฆ์ขาว!
จังหวะที่กระบี่ทองฟันลงไป พยัคฆ์ขาวหันกลับมาร้องคำราม ร่างเงาพยัคฆ์ขาวปรากฏขึ้น แยกออกมาจากร่างกายและกระโจนเข้าใส่เทพสวมเกราะทอง
ร่างเทพเกราะทองพังทลายไปพร้อมกับเสียงดังสนั่น แต่เจ้าพยัคฆ์ขาวก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนจะแตกสลายไปชเ่นกัน ขุนพลพยัคฆ์ขาวกระอักโลหิตอีกครั้งและถอยร่นไปพันฟุต
“ข้าคือขุนพลพยัคฆ์ขาว หนึ่งในสี่ยอดขุนพลของสำนักเจ็ดเต๋า ข้าจะไม่เปลี่ยนชื่อหรือสำนักข้า เจ้าเด็กน้อย จงจำไว้ให้ดี!” พยัคฆ์ขาวไม่ได้ดูดีนักและหยุดวิ่งหนี เขาเข้าใจดีว่าคงหนีรอดความตายไม่พ้นแล้ว
ในเมื่อกำลังจะตาย เขาก็จะทุ่มสุดตัว!
“ขุนพลวิหคศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในสี่ยอดขุนพลของสำนักเจ็ดเต๋า!” ด้านหลังพยัคฆ์ขาว ขุนพลวิหคศักดิ์สิทธิ์กำลังมีโลหิตไหลออกจากมุมปาก สายตาจ้องมองชายหนุ่ม
“ขุนพลเต่าดำ!” ขุนพลเต่าดำเข้าใจว่าพวกเขาสามคนคงกำลังจะตายแล้ว จึงถอนหายใจและไม่ปิดซ่อนตัวตนของตัวเองอีก
“สำนักเจ็ดเต๋า? แคว้นกระทิงสวรรค์มีสำนักชื่อนั้นด้วยหรือ?” ชายหนุ่มใบหน้าขาวขบคิดอยู่ชั่วขณะแต่ก็คิดไม่ออกจนนึกว่าตกการสำรวจ
“สำนักเจ็ดเต๋า!” เซียนแซ่เฉียนมองทั้งสามอย่างละเอียดหลังจากได้ยินชื่อนี้
“ข้าเห็นชื่อนี้ครั้งเดียวในการสำรวจสำนักของแคว้นกระทิงสวรรค์ มันเป็นสำนักที่มีมานานในอดีต จ้าวสำนักถูกเรียกชื่อว่าราชันย์เทพสีรุ้งหรืออะไรประมาณนั้น ระดับบ่มเพาะเก่งกาจแต่นั่นก็นานมากจนเหมือนเขาได้ตายไปแล้ว”
หลังได้ยินชื่อ “ราชันย์เทพสีรุ้ง” พยัคฆ์ขาวและพรรคพวกกลับเงียบลง พวกเขาต่างมีท่าทีซับซ้อน
“แม้จ้าวสำนักจะตายไปแล้วก็ยังมีอีกคน! หากเขาออกมา เขาจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินเซียนดารา!” พยัคฆ์ขาวเอ่ยขึ้นทันที
วิหคศักดิ์สิทธิ์และเต่าดำมองหน้ากันเองและพยักหน้า
“มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินเซียนดารา? เรื่องนี้น่าสนใจ หรือคนที่เจ้าพูดถึงจะเกี่ยวกับหยุนยี่เฟิงจากสำนักกุ้ยยี่? ช่างน่าสนุก!” ชายหนุ่มใบหน้าขาวพลันหัวเราะพลางมุ่งหน้าออกมากับเซียนแซ่เฉียนซึ่งมีจิตสังหารเต็มเปี่ยม
แต่ขณะที่พวกเขาเข้ามาใกล้พยัคฆ์ขาวและพรรคพวก เสียงหนึ่งดังออกมาดุจสายลมเย็นยะเยือก
“ช่างน่าสนุกหรือ…”