ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 90 กกกอดทั้งคืน
โจวซิ่นยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ ภรรยาคนก่อนของเขาเสียชีวิตอันเนื่องมาจากภาวะคลอดลำบาก แล้วเขาจะไม่กระวนกระวายใจไปได้อย่างไรกัน!
“หวังว่าจะโชคดีอย่างที่เจ้าว่า” โจวซิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่หมิงอวินโค้งลำตัวลงเล็กน้อย “โหวเย่ว์เป็นผู้สง่างามและแข็งแกร่ง จะสามารถมีบุตรหลานไว้สืบทอดได้อย่างแน่นอนขอรับ”
ทั้งสองมองหน้ากันพลางเผยรอยยิ้มออกมา โจวซิ่นไม่ค่อยถนัดพูดคุยเรื่องการให้กำเนิดบุตรกับผู้ชายด้วยกันเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เขากำลังกังวลใจในตอนนี้ก็ตาม ดังนั้นจึงเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“สหายของข้าผู้หนึ่งมีบ้านพักอยู่นอกเมือง ทั้งเงียบสงบและงดงาม วิวทิวทัศน์บริเวณใกล้ๆ ก็สวยงามไม่แพ้กัน เป็นสถานที่อันน่าไปเยือนแห่งหนึ่ง หากคุณชายหลี่สนใจ ข้าจะช่วยบอกกล่าวสหายผู้นั้นให้ล่วงหน้า คุณชายหลี่จะได้พาภรรยาไปพักผ่อนสักระยะหนึ่ง” หลังชะงักไปชั่วครู่โจวซิ่นก็เอ่ยเสริม “สหายข้าผู้นั้นเป็นคนนอกผู้รักสันโดษน่ะ”
หลี่หมิงอวินตระหนักขึ้นมาได้ทันใด ท่านเจ้าพระยากำลังตักเตือนเขาว่า ทางที่ดีที่สุดหลังประกาศผลการสอบคัดเลือกให้หลบหลีกออกไปสักระยะ อีกทั้งยังเอ่ยว่าเจ้าของบ้านพักหลังนั้นเป็นคนนอกรักสันโดษ ซึ่งคงไม่มีความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในราชสำนักอย่างแน่นอน หลี่หมิงอวินจึงกล่าวขึ้นทันที “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณโฮวเย่ว์อย่างยิ่งขอรับ”
โจวซิ่นพยักหน้าพลางฉีกยิ้มเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็นึกรำพึงรำพันในใจ หลี่ฟูเหรินเป็นภรรยาที่ดีเยี่ยมอย่างแท้จริง และหลี่หมิงอวินท่านนี้ไม่เพียงแต่มีความรู้ความสามารถอันโดดเด่น ความนึกคิดก็หลักแหลมเสียด้วย ท่านหัวหน้าราชเลขาหลี่ยิ่งแก่เฒ่ายิ่งเลอะเลือน เห็นทีว่าภายภาคหน้าตระกูลหลี่คงต้องหวังพึ่งพาหลี่หมิงอวินเสียแล้ว
ในห้องทำคลอด ด้วยความเจ็บปวดของเฉียวอวิ๋นซีที่เพิ่มทวีขึ้น สีหน้าอาการของทุกคนเริ่มแตกกระเจิง
“ฮูหยิน เริ่มกันตอนนี้เลยเจ้าค่ะ เมื่อใดที่มีอาการเริ่มปวด ท่านก็ออกแรง มองเห็นศีรษะของเด็กแล้วเจ้าค่ะ เส้นผมดกดำเงางามเชียวเจ้าค่ะ!” หน้าผากหลินหลันเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่าบนใบหน้ายังแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มไม่จางหาย
เฉียวอวิ๋นซีกัดฟันแน่น จ้องมองหลินหลันด้วยสีหน้าแน่วแน่ นึกคิดอยู่ภายในใจ เห็นส่วนศีรษะของเด็กแล้ว ก็น่าจะใกล้ออกมาแล้วสินะ!
“แม่ฟาง ถือโอกาสตอนนี้ที่ความเจ็บปวดยังไม่แทรกขึ้นมา ป้อนซุปโสมให้ฮูหยินดื่มสักสองสามจิบ” หลินหลันออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ…” แม่ฟางรีบร้อนสั่งให้คนไปถือซุปโสมมาให้
หญิงชราเหล่านั้นอยากเสนอหน้าเป็นอย่างมากเช่นกัน เดิมทียังคิดว่าหลี่ฟูเหรินท่านนี้ไร้ความสามารถ ดีแต่พูด ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าเขาแค่ชวนคุยชวนหัวเราะ เดินเล่นไปเดินเล่นมา ก็ช่วยให้ปากมดลูกของฮูหยินเปิดได้
หลินหลันเอ่ยถามฟางฮุ่ยอีกครั้งด้วยเสียงบางเบา “กรรไกร ผ้าสะอาด เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่”
ฟางฮุ่ยพยักหน้า “เตรียมทั้งหมดไว้ตามคำสั่งการของหลี่ฟูเหรินแล้วเจ้าค่ะ”
“อีกประเดี๋ยวมองดูสัญญาณมือข้า แล้วเจ้าค่อยส่งมา”
แม้ว่าในยุคสมัยนี้หลินหลันได้ทำคลอดอย่างจริงๆ จังซึ่งการเผชิญหน้าครั้งที่ถือเป็นครั้งที่สอง ทว่าเมื่อครั้งชีวิตก่อนหน้าตอนฝึกงานในแผนกสูตินารี นางเป็นถึงมือหนึ่งผู้เก่งกาจด้านการทำคลอด มักจะได้รับการเชยชมจากผู้อำนวยการสูตินรีเวชที่คอยสั่งสอนพวกนาง ซึ่งก็รู้ด้วยเช่นกันว่าในยุคสมัยโบราณ เวลาให้กำเนิดเด็กส่วนมากจะไม่แตะต้องกรรไกร ปากแผลปริแตกอย่างไม่เป็นรูปเป็นร่างเหมาะสม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการสมานแผล และจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการใช้ชีวิตของคู่สามีภรรยาในภายภาคหน้า วันนี้นางก็เลยตั้งใจสั่งสอนบรรดาหมอตำแยเหล่านี้ และถือว่าเป็นประโยชน์ต่อหญิงในยุคสมัยโบราณอีกด้วยเช่นกัน!
หลินหลันปล่อยให้เฉียวอวิ๋นซีออกแรงด้วยตนเองก่อน คอยให้กำลังใจนางไม่เว้นว่าง เห็นสถานการณ์พอเหมาะพอเจาะแล้ว
“ผู้ดูแลท่านนี้ รบกวนกวนท่านช่วยมารีดดันท้องที ทำอย่างช้าๆ จากบนลงล่าง จากสองข้างบรรจบตรงกลาง ใช่ เช่นนี้ล่ะ…”
“ผู้ดูแลท่านนี้ รบกวนท่านช่วยกดตรงนี้ค้างไว้ ใช่ จะต้องกดให้แน่นเข้าไว้…”
หลินหลันค่อยๆ ลำดับทีละขั้นทีละตอนอย่างมีระเบียบแบบแผน แล้วจึงให้สัญญาณมือแก่ฟางฮุ่ยเพื่อขอกรรไกร
ฟางฮุ่ยรีบนำกรรไกรยื่นส่งให้
“ฮูหยิน ออกแรงอีกครั้ง ใกล้จะออกมาแล้วเจ้าค่ะ”
ภายใต้การร่วมมือร่วมใจ หลินหลันดึงเด็กออกมาได้อย่างราบรื่น
แม่ฟางเผยสีหน้าแห่งความปลื้มปิติใจ “คลอดแล้ว คลอดแล้ว เป็นซื่อจื่อ [1] น้อยเจ้าค่ะ เป็นซื่อจื่อน้อยจริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
หมอตำแยผู้หนึ่งรับเด็กมาไว้ ยกเท้าขึ้นแล้วออกแรงตบก้น แล้วจึงใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปในปากเด็ก ชั่วครู่ต่อมาเสียงเด็กร้องอุ้แว้อุ้แว้ก็ดังขึ้น
ผู้ที่คอยรอให้การปรนนิบัติด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงร้อง ก็รีบวิ่งไปยังห้องรับรองแขกเพื่อรายงานท่านเจ้าพระยา
“โหวเย่ว์…ฮูหยินคลอดแล้ว คลอดแล้วเจ้าค่ะ…ปลอดภัยทั้งแม่และลูกเจ้าค่ะ…”
โจวซิ่นลุกขึ้นยืนทันทีทันใด “คลอดแล้วหรือ ปลอดภัยทั้งแม่และลูกใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก ฮูหยินให้กำเนิดบุตรชายเจ้าค่ะ…” ข้ารับใช้กล่าวเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
โจวซิ่นเพิ่งเชื่อว่าตนเองมิได้หูฟาดไป ดีอกดีใจจนทำอะไรไม่ถูก เดินกลับไปกลับมาอยู่หลายฝีก้าว ฝ่ามือหนาโบกกวัก พลางตะโกนเสียงดัง “รางวัล ตบรางวัลกันไปให้ถ้วนหน้า…”
หลี่หมิงอวินถอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเช่นกัน นี่ก็ครึ่งคืนเข้าไปแล้ว การคลอดบุตรของสตรีช่างมิใช่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ !
“ขอแสดงความยินดีแด่โหวเย่ว์ขอรับ” หลี่หมิงอวินลุกขึ้นยืนแล้วยกสองมือขึ้นประสานกันระดับหน้าอกพลางกล่าวแสดงความยินดี
โจวซิ่นหัวเราะฮ่าฮ่า แล้วแตะๆ บ่าของหลี่หมิงอวิน “เจ้าก็เช่นกัน ยินดีด้วย”
หลี่หมิงอวินตกตะลึง ท่านแสดงยินดีกับข้าที่ท่านได้ลูกชายน่ะหรือ แต่ก็แอบโล่งใจตามไปด้วย นี่ท่านเจ้าพระยาคงจะดีใจเสียจนไม่รู้ว่าพูดอะไรออกมาแล้วกระมัง
เด็กคลอดออกมาเป็นที่เรียบร้อย ทว่ายังมีงานอื่นๆ ที่ตามมามากมาย หากไม่ทำความสะอาดให้ดี จะนำไปสู่อาการไม่พึงประสงค์หลายประการ ในกรณีร้ายแรงอาจส่งผลถึงการสูญเสียชีวิตได้ หลินหลันจึงยุ่งอยู่ในห้องคลอดต่ออีกเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งทำในสิ่งที่ควรทำเสร็จสิ้นเกือบหมดแล้ว เห็นเฉียวอวิ๋นซีที่หลับไปเพราะความเหนื่อยล้า ทางด้านหลินหลันก็รู้สึกว่าอ่อนเพลียเช่นกัน
หลังออกมาจากห้องทำคลอด โจวซิ่นโอบอุ่นทารกแรกเกิดด้วยรอยยิ้มนั่นที่เรียกได้ว่าสมดั่งความปรารถนา
“หลี่ฟูเหริน ครั้งนี้ขอบใจเจ้ามากจริงๆ” โจวซิ่นเห็นหลินหลันออกมา จึงส่งเด็กให้แก่แม่นม ยกสองมือขึ้นประสานกันระดับหน้า กล่าวขอบคุณจากใจจริง
หลินหลันรีบคาราวะกลับคืน “โหวเย่ว์ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว นี่คือสิ่งที่หลินหลันพึงกระทำเจ้าค่ะ”
“ภรรยาข้านาง…” โจวซิ่นอยากเข้าไปดูอวิ๋นซีเป็นอย่างมาก แต่ก็เกรงว่าเวลานี้จะยังไม่ใช่เวลาอันเหมาะสม
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ฮูหยินปลอดภัยดีเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังนอนหลับ โหวเย่ว์สามารถเข้าไปเยี่ยมได้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโจวซิ่นจึงเตรียมเดินเข้าไปด้านใน กระทั่งเดินไปครึ่งทางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับไป “หลี่ฟูเหริน หลี่กงจื่อกำลังคอยเจ้าอยู่ที่ด้านนอก”
หลินหลันตกตะลึง หลี่หมิงอวินเขามาที่นี่ทำไมกันหรือ นี่ก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนคืนแล้วด้วย และเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
หลินหลันรีบออกไปพร้อมกับหยินหลิ่ว และเห็นว่าหลี่หมิงอวินกำลังยืนรอนางอยู่บริเวณลานบ้านจริงๆ ด้วย
“เจ้ามาทำไมหรือ” เมื่อครู่หลินหลันตกอยู่ในอาการตึงเครียด ซึ่งแบกรับมันอยู่พักใหญ่ ตอนนี้ได้ผ่อนคลายลงเสียที กระทั่งลำคอก็ยังแหบแห้งไปเล็กน้อย
หลี่หมิงอวินเห็นสีหน้าอันอ่อนล้าของนาง จึงกล่าวเพียง “ข้ามารับเจ้า” ภายใต้น้ำเสียงอันอ่อนโยน
“มิใช่ว่าเจ้าไม่วางใจทักษะการรักษาของข้าหรอกนะ!” หลินหลันเอ่ยอย่างเนื่องหน่าย
ทั้งสองเดินออกไปด้านนอกด้วยกัน
หลี่หมิงอวินพยักหน้าอย่างสัจจริง “นิดหน่อย”
หลินหลันกรอกตาใส่อย่างหมดแรง “แล้วตอนนี้ล่ะ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เกรงว่าหลังจากนี้คนจะเรียนเชิญเจ้าไปทำคลอดมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว”
หลินหลันส่ายศรีษะอย่างหวาดผวา “นี่คือการทำงานภายใต้แรงกายเห็นๆ ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำคลอดให้แก่ผู้ซึ่งมีฐานะสูงศักดิ์ จะให้เกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยก็มิได้ ภายในใจจึงเต็มไปด้วยแรงกดดันอย่างยิ่ง หลินหลันตัดสินใจเด็ดขาด ผู้ที่มาเรียนเชิญนางไปทำคลอดหลังจากนี้ จะต้องเป็นผู้ที่นางตรวจมาตั้งแต่แรกก่อนการคลอด มิฉะนั้น รับทำคลอดโดยไม่เข้าใจสภาพการณ์แต่แรก จะก่อความเสี่ยงมากเกินไป สถานะตัวตนนางในตอนนี้มิใช่แค่สาวชาวบ้านธรรมดาๆ อีกแล้ว แต่เป็นลูกสะใภ้แห่งตระกูลหลี่ หากทำไม่ดีจะพาลทำให้หมิงอวินเสียชื่อเสียงไปด้วย
เมื่อพ้นจากจวนแล้ว หลี่หมิงอวินประครองหลินหลันขึ้นรถ ทางจวนเจ้าพระยาจิ้งยังส่งรถม้าอีกหนึ่งคัน โดยหลี่หมิงอวินให้หยินหลิ่วนั่งรถม้าของจวนโจวกลับไป บนนั้นยังมีรางวัลล้ำค่าหนึ่งชุดจากท่านเจ้าพระยาจิ้งมอบให้ไปด้วย ถึงแม้เขาจะบอกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม ทว่าท่านเจ้าพระยาจิ้งกลับดื้อดึงจะมอบให้ให้ได้ จึงจำยอมรับเอาไว้ หลี่หมิงอวินตั้งใจว่าไว้บุตรชายของท่านเจ้าพระยาครบหนึ่งเดือนแล้วค่อยส่งของขวัญกลับคืน
ทันทีที่ขึ้นรถหลินหลันก็ปิดเปลือกตาลง หัวทิ่มหัวตำไปมา
เห็นนางเหนื่อยล้าเช่นนี้ หลี่หมิงอวินอดรู้สึกเป็นห่วงมิได้ กล่าวเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หลินหลัน กินอะไรหน่อยไหม ข้าให้กุ้ยซ่าวทำโจ๊กรักนกไว้ให้แล้ว…”
“อืม…” หลินหลันอยากจะนอนหลับท่าเดียวด้วยความอ่อนเพลีย
“กินอะไรรองท้องหน่อยแล้วค่อยนอนตกลงไหม” หลี่หมิงอวินเอ่ยเสียงกระซิบ ราวกับหว่านล้อมเด็กน้อย
“เจ้าอย่ารบกวนข้าสิ…ข้าง่วงมาก..ข้าต้องการนอนหลับ…” หลินหลันพึมพำ และเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
หลี่หมิงอวินถอนหายใจ นำโจ๊กรังนกวางลง ยืนมือออกไปโอบรั้งนางเข้ามา โดยใช้ท่อนแขนของตนเองเป็นหมอนหนุนแก่นาง หลินหลันสะลึมสลือแล้วยังลูบคลำอยู่ในอ้อมแขนของเขา
รถม้าคลอนไปคลอนมา ทว่าหลินหลันกลับนอนหลับสบายใจเฉิบ รู้สึกว่าตนเองกอดหมอนขนาดใหญ่อันแสนนุ่มสบายอยู่
การนอนหลับเป็นไปอย่างสุขสบาย เมื่อหลินหลันตื่นขึ้นมา รู้ตัวอีกทีก็พยายามยืดแขนบิดขี้เกียจ กลับพบว่าท่อนแขนไม่อาจขยับไม่ได้ นางลืมตาขึ้นทันใด ดวงตาคู่สวยกลอกไปมา ใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่า นี่ไม่ใช่ ในรถม้าหรอกหรือ และนาง…ไม่ได้นอนหลับฝันหวานอยู่เตียงนอนแต่อย่างใด ที่กำลังกอดอยู่ก็มิใช่หมอนลูกใหญ่อันแสนนุ่ม แต่เป็นท่อนแขนกำยำของใคนคนหนึ่ง การเต้นของหัวใจช้าๆ และมั่นคง ดังอยู่ข้างใบหู และทันใดนั้นหัวใจของหลินหลันก็เต้นระรัวขึ้นมา
พระเจ้า…นางกำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของหลี่หมิงอวินนี่เอง
หลินหลันค่อยๆ เรียกสติกลับคืนมาอย่างช้าๆ มองเห็นคางอันเรียวมนน้อยๆ ของหมิงอวิน สันจมูกโด่งได้รูป ขนตายาวๆ คิ้วหนาและโค้งสีดำเข้มกำลังดีรับกับใบหน้า เปลือกตาของเขายังคงปิดสนิท จังหวะลมหายใจเป็นไปอย่างเนิบๆ ที่แท้ลักษณะเวลาเขานอนหลับก็หล่อเหลาขนาดนี้เชียว…
หลินหลันรู้สึกคลั่งไคล้ไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกว่าการที่ตนเองเป็นเช่นนี้มันงี่เง่ายิ่งนัก มองเห็นแสงรุ่งอรุณส่องทะลุม่านหน้าต่างรถเข้ามา ท้องฟ้าสร่างมาเยือนแล้ว นางจำได้ว่าตอนออกจากจวนท่านเจ้าพระยาจิ้ง เป็นเวลาประมาณตีสองตีสามเห็นจะได้ ซึ่งขณะนี้ก็คงจะเกินเวลารุ่งสร่างแล้วนะ! เหตุใดเขาถึงไม่ส่งนางกลับไปนอนที่บ้าน มัวโอบกอดนางอยู่บนรถม้าเช่นนี้อยู่ได้…
รู้สึกได้ถึงการขยับเขยื่อนในอ้อนแขน หลี่หมิงอวินจึงลืมตาขึ้น ก้มหน้ามองหลินหลัน กล่าวด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “เจ้าตื่นแล้วหรือ”
หลินหลันไม่กล้ามองหน้าเขา รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงดิ่ง แสร้งทำเป็นจัดระเบียบเสื้อผ้า เพื่อกลบเกลื่อนความเคอะเขินของนาง
หลี่หมิงอวินยกแขนที่รู้สึกชาไปทั้งท่อน พลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ศีรษะของเจ้าหนักเอาการเลยทีเดียว”
หลินหลันหน้าแดงกล่ำ จ้องเขม็งใส่เขา “ศีรษะเจ้าสิหนัก!”
หลี่หมิงอวินอมยิ้ม เปิดม่านด้านหน้าแล้วกระโดดลงจากรถม้า ก่อนจะทำท่ายืดเส้นยืดสาย
หลินหลันบ่นพึมพำชั่วครู่ แล้วลงรถม้าตามไปเช่นกัน
เอ่อ…นี่มันที่ไหนอีกเนี่ย ในสายตาคือผืนทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่ม หยาดน้ำค้างเกาะบนยอดหญ้า ปรากฏเป็นเม็ดๆ ราวกับไข่มุกที่ร่วงหล่นสู่พื้นพสุธา ไกลออกไปเห็นกลุ่มควันจำนวนหนึ่งกำลังพวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน
“นี่คือแห่งหนใดหรือ” หลินหลันเดินไปหยุดด้านข้างหลี่หมิงอวิน และเอ่ยถาม
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน คงต้องถามเหวินซานดู”
เหวินซาน? หลินหลันหันซ้ายหันขวามอง ในที่สุดก็เห็นเงาคนผู้หนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ไกลออกไป กำลังนอนหลับโดยเอนหลังพิงในท่ากอดอกอยู่กับต้นไม้ใหญ่นั้น!
“เหตุใดถึงพาข้ามาที่ที่ ทำไมไม่กลับบ้าน” หลินหลันพึมพำโอดครวญ
หลี่หมิงอวินมองดูนางก็อดยิ้มไม่ได้ ยิ้มเสียจนหลินหลันรู้สึกขนลุกซู่
“กำลังเอ่ยถามเจ้าอยู่นะ!” หลินหลันจ้องเขม็งใส่
“เดิมทีไปถึงจวนหลี่แล้ว ทว่าเจ้าไม่ยอมลงจากรถ ข้าจนปัญญา เลยได้แต่ให้เหวินซานควบม้าเคลื่อนรถไปแห่งหนใดสักแห่งอย่างช้าๆ จนมาถึงที่นี่” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
หลินหลันรู้สึกเขินอายจนใบหูแดงระเรื่อ ราวกับว่าในฝันมีคนกำลังจะแย่งหมอนนุ่มๆ ของนางไป นางจึงกอดรั้งเอาไว้สุดกำลัง ดูเหมือนจะบ่นพึมพำไปนิดหน่อยด้วย…ช่างน่าอายเสียจริงเลย
หลินหลันรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันใด “มิใช่ว่าวันนี้ประกาศผลสอบหรอกหรือ จะปิดประกาศเมื่อใดกัน”
หลี่หมิงอวินเงยหน้ามองท้องฟ้า “ตอนนี้น่าจะปิดประกาศแล้วล่ะ!”
หลินหลันกล่าวอย่างร้อนใจ “งั้นพวกเราจะมัวอยู่ที่นี่กันทำไมอีก รีบกลับไปดูผลการสอบเถอะ…”
หลินหลันเอ่ยพลางวิ่งไปเรียกเหวินซาน “เหวินซาน ตื่นได้แล้ว ตะวันส่องก้นแล้ว…”
หลี่หมิงอวินมองดูนางวิ่งไปด้วยความเคอะเขิน ส่งผลให้นัยน์ตาของเขาฉายรอยยิ้มเด่นชัดยิ่งขึ้น
——
[1] ซื่อจื่อ (世子) ซึ่งหมายถึงผู้สืบทอด ลูกชายผู้ที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากพ่อ